ตอนที่ 9
อันโตนเช่าห้องอยู่กับจ่อเอในแดนไทย เช้าวันนี้อันโตนติดต่อไปยังนายพลอังกูที่เมืองซาอู เป็นช่วงเวลาที่นายพลเพิ่งได้ข้อมูลของพสุกับยุพราชมาพอดี
“หน่วยเหยี่ยวดำซาอูสืบประวัติของมันมาให้แล้ว มันชื่อร้อยโทพสุ ปราบไพรี นายทหารแห่งกองทัพไทยที่ได้รับทุนไปเรียนต่อด้านทหารที่อเมริกาจนได้เข้าไปฝึกในหน่วยรบพิเศษ และประจำการอยู่หน่วยกรีนเบเร่ต์สองปี มันอยู่หน่วยเดนตายนี่เอง มันถึงกล้าแฝงตัวเข้ามาในคีรีหลวง มาช่วยพาเจ้าจ้อยหนี เช่นเดียวกับอีกคนนึง มันชื่อยุพราช มันอยู่หน่วยเดียวกัน เป็นคู่หูกัน”
“ผมเห็นไอ้คนที่ชื่อยุพราชมันตามอารักขาเจ้าจ้อยอยู่ที่ปางไม้”
“ก็แน่ล่ะ มันเป็นทหารองครักษ์เมืองจาย เป็นลูกชายของไอ้อกานซิงห์ องครักษ์เอกของเจ้าแสงหน่อฟ้า”
“นี่แสดงว่ากองทัพสหรัฐฯมีส่วนรู้เห็นส่งไอ้ทหารสองคนนั่นไปช่วยครอบครัวเจ้าแสงหน่อฟ้า”
“ยังมีอะไรต้องสงสัยอีก ก็มหาเทวีมเหสีของเจ้าหลวงเมืองจายเป็นสาวอเมริกัน”
“ถ้าไม่มีไอ้ทหารสองตัวนั่น เราคงจับตัวครอบครัวเจ้าจ้อยได้สำเร็จ ปิดบัญชีไปแล้ว”
“เลิกพูดเรื่องเก่าที่พลาดไปแล้ว เฮาอยากได้ยินเรื่องใหม่ งานของเจ้าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
“เฮามั่นใจว่าเจ้าหลวงใช้ปางไม้เป็นกองบัญชาการลับของมันแน่นอน เมื่อคืนเฮาพยายามจะจับตัวเจ้าจ้อย แต่ไอ้พสุกับใครอีกคนนึงเข้ามาขวาง”
“ถ้าไอ้ทหารไทยคนนั้นเข้ามายุ่ง มันเป็นสัญญาณเตือนว่าทางการไทยรู้ตัวแล้วว่าพวกเรากำลังจะทำอะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่มีเวลาร่ำไร เราต้องปิดจ๊อบให้เร็วที่สุด เฮาส่งคนไปช่วยพวกเจ้าอีกแรงแล้ว”
นายพลอังกูหมายถึงปาแปงกับซาบีนั่นเอง...แล้วสั่งทิ้งท้ายว่า
“ตอนนี้แผนเปลี่ยนแล้ว ไม่ใช่แค่ก่อกวน แต่เจ้าต้องเก็บทั้งเจ้าหลวงและมหาเทวี แล้วลักพาตัวเจ้าจ้อยกลับซาอูมาให้ได้ อย่าให้เฮาต้องลงมือเอง”
“รับทราบท่านนายพล” อันโตนตอบหนักแน่น หน้าเหี้ยมเกรียม นึกได้ว่าวันนี้เป็นวันโกน ถึงเวลาปลุกวิญญาณร้ายอีกครั้ง!
ooooooo
สายวันเดียวกัน พสุหอบหิ้วสัมภาระเข้ามาอยู่ในคุ้มจันทราด้วยหัวใจที่พองโต ต่างจากยุพราชอย่างสิ้นเชิงที่เมื่อรู้เรื่องนี้จากอ่อนคำ เขาแผดเสียงดังด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าว่าอะไรนะอ่อนคำ พสุย้ายเข้ามาอยู่ในคุ้มอย่างงั้นเหรอ”
“เจ้าจะตะคอกเสียงดังทำไม”
“บอกมานะ ใครใช้ให้มันเข้ามา”
“ทุกอย่างเป็นคำสั่งของเจ้าหลวง”
ยุพราชชะงักเสียงอ่อยลง “แล้วเจ้าหลวงให้มันเข้ามาอยู่ทำไม”
“เท่าที่เฮารู้คือให้หมวดพสุย้ายเข้ามาอยู่ในคุ้มทำหน้าที่ดูแลเจ้าจ้อย”
“แทนเฮาอย่างงั้นหรือ”