ตอนที่ 12
ที่กองดินสูงข้างหน้า พระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า พระยาตากขี่ม้ามาพร้อมด้วยหลวงพิชัย พันหาญ ม่วง และทหารอีกคนหนึ่ง ทั้ง 5 นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างองอาจ พระอาทิตย์อยู่หลังพระยาตากทำให้แสงอาทิตย์เข้าตา ทหารชี้ไปที่พระยาตากร้องบอก “นี่ล่ะ อ้ายพระยาตาก” นายกองเอ่ยพลางยิ้มเยาะ
“ท่านแม่ทัพบอกว่ามันชำนาญการศึก ข้ากลับเห็นว่ามันมารนหาที่เยี่ยงคนโง่แท้ๆ” พลางหยิบปืนสั้นออกมาเตรียมพร้อม พลันพระยาตากชักดาบควงตะโกนก้อง
“บุก”
นายกองยิ้มเยาะเล็งปืนใส่พระยาตาก แต่แสงพระอาทิตย์หลังพระยาตากแยงตาจนนายกองเผลอกะพริบตาขณะเหนี่ยวไก ทำให้กระสุนเฉียดพระยาตากไป นายกองตกใจลนลานใส่ลูกปืนใหม่
ทันใดนั้นม้าพระยาตากก็พุ่งเข้ามาถึงตัวนายกองพร้อมกับคมดาบของพระยาตากฟันคอนายกองขาดกระเด็นทันที พอนายกองตายพวกทหารก็ตกใจ ถูกม้าอีก 4 ตัวบุกทะลวงเข้าใส่จนแตกกระเจิง
ทันใดนั้นทหารของพระยาตากที่ซุ่มอยู่สองข้างทางก็โห่ร้องกรูกันออกมา ไล่ฟันทหารอังวะที่หนีหัวซุกหัวซุน นั่นคือเหตุการณ์ที่บรรยายไว้ว่า...
“ในวันที่ 4 มกราคม พุทธศักราช 2310 พระยาตากกับนายทหารคู่ใจอีกสี่คนได้ขี่ม้าห้าตัว บุกทะลวงเข้าใส่กองทัพอังวะ 2,000 คน ก่อนจะกระหนาบตีจนพ่ายไปโดยไม่เสียกำลังทหารแม้แต่คนเดียว กิตติศัพท์การรบได้ขจรขจายไปทั่ว เป็นเหตุให้มีผู้ศรัทธา เข้าสวามิภักดิ์พระยาตากมากขึ้นเรื่อยๆ และจากวีรกรรมในครั้งนี้ จึงได้กำหนดให้วันที่ 4 มกราคมของทุกปีเป็น ‘วันทหารม้า’ ของไทย”
ooooooo
ผ่านมา 10 กว่าวัน เช้านี้ขณะแมงเม่านั่งซึมอยู่คนเดียวใต้ต้นไม้ในวัง ขันทองก็เข้าไปยื่นดอกจำปีให้ แมงเม่าชำเลืองดอกจำปีนิดหนึ่งเอ่ยอย่างไม่สนใจว่า
“เป็นพระคุณเจ้าค่ะ แต่ฉันยังไม่อยากได้ดอกไม้กระไรทั้งนั้น” ขันทองตัดพ้อว่าหากดอกจำปีมีชีวิตมันคงเสียใจที่เจ้าไม่ต้องการมัน “ฉันรู้ว่าคุณพระต้องการปลอบใจฉัน แต่ฉันห่วงพ่อแลทุกคนนัก ไม่มีแก่ใจจริงๆเจ้าค่ะ”
ขันทองถอนใจ บอกให้แมงเม่าลุกขึ้นและตามมาตนมีกระไรจะให้ดู ระหว่างเดินไปขันทองถามว่าในตำหนักเป็นอย่างไรบ้าง ตนไม่ได้เข้าเฝ้ากรมขุนวิมลเสียหลายวัน
“เสด็จพระองค์หญิงคงทรงรู้แล้วล่ะเจ้าค่ะว่าบ้านเมืองวิกฤติเพียงใด แต่ก็สายไปเสียแล้ว ทำได้เพียงแค่หาทางช่วยด้วยเวทมนตร์คาถาเท่านั้น” แมงเม่าเล่าเศร้าๆ ขันทองฟังแล้วได้แต่ถอนใจ
ooooooo