ตอนที่ 12
สภาพในกรุงศรีอยุธยาหลังสงคราม...ศพเกลื่อนกลาด มากจนเก็บไม่ทัน ต้องปล่อยให้แร้งกา จิกกินอย่างน่าสมเพช ส่วนชาวบ้านที่เหลือก็อยู่อย่างสิ้นหวัง บ้างตีอกชกตัวอย่างแค้นใจที่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น
แต่ที่เรือนพระยาพลเทพ พระยาพลเทพกำลังคุยกับขุนแผลงฤทธิ์จะให้เป็นผู้ส่งสาส์นไปถึงกองทัพอังวะ ขุนแผลงฤทธิ์กลัวจะถูกอังวะเข้าใจผิดจับฆ่าเสียก่อน
“ถึงอย่างไรก็ต้องเสี่ยง” พระยาพลเทพยืนยัน “เราทำกันมาถึงขนาดนี้ อีกนิดเดียวลาภยศทรัพย์สมบัติทั้งมวลก็จะเป็นของพวกเราแล้ว จะยอมให้อโยธยา ยอมแพ้ได้อย่างไร” ขุนแผลงฤทธิ์ถามว่าถูกล้อมทุกด้านเช่นนี้จะฝ่าออกไป...แต่พูดไม่ทันจบพระยาพลเทพก็ขัดขึ้นว่า “ถ้าทำสำเร็จ ฉันสัญญาว่าตำแหน่งมหาอุปราชจะเป็นของท่านขุน”
ขุนแผลงฤทธิ์ชะงักไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นโลภขึ้นมา ทันที
หัวค่ำวันนี้ เนเมียวสีหบดีจึงได้รับจดหมายจากพระยาพลเทพ และนำไปอ่านให้มังมหานรธาที่นอนป่วยอยู่ฟัง พออ่านจบก็หัวเราะลั่น
“อ้ายพระยาพลเทพผู้นี้ ช่างโลภโมโทสันนัก ถึงกับให้คนเสี่ยงตายเอาหนังสือมาบอก ว่าหากไม่ยอมแพ้ แลตั้งมันปกครองอโยธยา มันจะให้บรรณาการแก่อังวะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า”
“ไม่มีผู้ใดจะทำร้ายคนไทได้มากเท่าคนไทด้วยกันเองเลยจริงๆ” มังมหานรธาเอ่ยทั้งที่ไข้สูงอาการหนัก เนเมียวสีหบดีถามว่าท่านเห็นว่าอย่างไร มังมหานรธราพนมมือขึ้นเหนือหัว “พระพุทธเจ้าอยู่หัว ไม่ได้ทรงต้องการให้อโยธยาเป็นประเทศราช เพราะที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนไทมิยอมอยู่ใต้อำนาจได้นาน”
“น่าเวทนาไอ้พระยาพลเทพนัก” เนเมียวสีหบดียิ้มร้ายเอ่ยสีหน้าเหี้ยมเกรียมดุดัน “เช่นนั้นก็ต้องทำลายให้ย่อยยับ”
ooooooo
บ่ายวันนี้ขณะขันทองมาเจอแมงเม่าที่มุมหนึ่งในวัง แมงเม่าจะเดินหนี ขันทองรีบเรียกไว้ถามว่าทำไมต้องหลบหน้าตนด้วย นับแต่วันนั้นผ่านมาเดือนเศษ แล้วตนเพิ่งเจอหน้าเจ้าสองครั้งเอง
ขณะนั้นเองขันทองเห็นเจ้าจอมเพ็ญเดินคุยมากับจมื่นศรีสรรักษ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจึงดึงแมงเม่าหลบฟัง
เจ้าจอมเพ็ญไม่พอใจและห้ามจมื่นศรีสรรักษ์ที่จะอาสาออกรบทั้งที่ตัวเองไม่เก่งกาจชาญศึก ถามว่าอยากไปตายหรืออย่างไร
“ไม่มีผู้ใดอยากตายดอกขอรับ แต่ถ้าต้องอยู่อย่างอัปยศอดสูก็สู้ตายเสียยังจะดีกว่า อังวะมันหยามน้ำหน้าเรานัก ขนาดยอมเป็นเมืองขึ้นเมืองออกแล้วก็ยังกดหัวไม่ให้มีปากเสียงอีก ถ้าไม่สู้ก็อย่าเกิดเป็นคนเลย”