ตอนที่ 3
“มันต้องมีวันเกิดขึ้นสิ เชื่อแม่” เจ้าอุ่นคำหันมาพูดโดยถือหม้อต้มยาอยู่ในมือ
“นั่นท่านแม่จะต้มยาอะไรอีกแล้ว”
“วันนี้อากาศเย็น แม่รู้สึกมือเท้าเย็นคล้ายจะเป็นไข้ จะต้มยาสมุนไพรกินไล่เลือดลมเสียหน่อย”
เจ้าอุ่นคำพูดพลางหันไปก้มลงดึงหีบอีกใบที่ซ่อนไว้ใต้ตู้ออกมา เปิดล็อกกุญแจแล้วเปิดหีบออก ในนั้นมีสมุนไพรแห้งอยู่มากมาย บ่งบอกว่านางมีความรู้เรื่องสมุนไพรเป็นอย่างดี
ooooooo
หลังจากออกไปสูดอากาศนอกเรือนสักพัก พสุกับเจ้าจ้อยกลับเข้ามาในเรือนเพื่อจะเตรียมกินอาหารเช้า
“ผมจะไปอุ่นข้าวต้มให้นะครับเจ้าจ้อย คุณจะได้กินยาแล้วเราจะได้ออกเดินทางต่อ ว่าแต่คุณไหวไหม จะออกเดินทางต่อได้ไหม”
“ยังไงเฮาก็ต้องไหว เฮาไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว เฮาอยากเจอเจ้าพ่อเจ้าแม่ให้เร็วที่สุด”
“ถ้าในระหว่างทางคุณเดินไม่ไหว ผมจะอุ้มคุณไปเอง”
เจ้าจ้อยยิ้มเขิน ทั้งคู่ผละออกจากกัน เจ้าจ้อยกำลังจะเข้าห้อง ชะงักนึกได้
“หมวดคะ ตกลงที่นี่เป็นบ้านใคร เราอยู่มาข้ามคืนแล้ว แต่ยังไม่เห็นเจ้าของบ้านเลย”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่มาถึงผมเห็นผ้าแดงไขว้ปิดหน้าประตูอยู่ แล้วก็มีช่อดอกไม้กับรวงข้าวแห้งๆอยู่ด้วย”
เจ้าจ้อยอ้าปากค้าง รีบวิ่งเข้ากอดแขนพสุด้วยสีหน้าตื่นกลัว
“เป็นอะไรไปครับเจ้าจ้อย หรือว่าอยากกอดผม ทีหลังบอกกันตรงๆก็ได้นะครับ”
พสุกอดตอบ เลยโดนเจ้าจ้อยตีแขนด้วยท่าทีเขินๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย ความเชื่อของคนแถบนี้มีอยู่ว่า ถ้าประตูคาดปิดด้วยผ้าแดงแสดงว่าบ้านนี้มีคนตายทั้งบ้าน ถือว่าเฮี้ยนมาก ญาติพี่น้องไม่กล้าอยู่ต่อจนต้องปิดตาย”
“มีแบบนี้ด้วยเหรอครับ”
“ดูจากสภาพบ้าน ทุกอย่างยังเหมือนมีคนอยู่ แปลว่าเพิ่งตายได้ไม่นาน”
พลันมีเสียงบางอย่างร่วงหล่น ทั้งคู่หันขวับไปมองเห็นรูปภาพตายายวางอยู่มุมหนึ่ง เสียงร่วงหล่นที่ได้ยินก็คือเสียงดอกไม้ที่แห้งจนร่วงจากก้านนั่นเอง
เจ้าจ้อยกอดแขนพสุแน่นขึ้นอีกด้วยความกลัว
พสุเดินตรงไปที่รูปภาพตายาย นั่งลงตรงหน้าแล้วยกมือไหว้
“คุณตาครับ คุณยายครับ พวกเราขอโทษที่ถือวิสาสะเข้ามาในบ้าน พวกเรามาดี ไม่ได้มาร้าย”
เจ้าจ้อยเห็นดังนั้นก็นั่งลงไหว้ขอขมาด้วย “ขอบคุณคุณตาคุณยายมากนะคะที่ให้ที่พักพิงกับพวกเรา ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปแล้ว และจะไม่รบกวนความสงบของพวกท่านอีกแล้วค่ะ”
พลันพสุได้ยินเสียงดังแว่วมาจากด้านหน้าบ้าน เขาหันขวับไปพร้อมพูดว่า “มีคนมาที่นี่”