ตอนที่ 10
“ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใครไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลย ผมรู้อย่างเดียวผมคิดถึงคุณ ต้องให้ผมตามหาว่าคุณเป็นใคร ต้องให้ผมวิ่งตามคุณอีกกี่ครั้ง ผมก็ทำได้ ถ้าผมรู้ว่าคุณจะยืนรอผมอยู่”
“ฉันต้องไปภาธร ฉันปล่อยให้มีคนเดือดร้อนเพราะฉันไม่ได้อีกแล้ว” รวิปรียาพยายามกลั้นน้ำตาไว้
“อย่าไป...อย่าร้องไห้นะครับ” ภาธรว่าแล้วดึงเธอมาจูบซับน้ำตาที่แก้มให้ เธอตกใจดันตัวออกห่าง เขากลับรวบตัวเธอมาจูบปากอย่างดูดดื่ม เธอใจอ่อนยวบไม่สามารถไปจากเขาได้...
ผีเจ้าฟ้าทิพฉายไม่ยอมให้รวิปรียามาแย่งคนรักไป กลับมาที่บ้านทรงศิริ แจ้งกับอรณีว่าจะแต่งงานกับภาธร ท่านงงเป็นไก่ตาแตกจะแต่งกับเขาได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยเห็นทั้งคู่คบหากัน เธออ้างว่าเราสองคนรักกันไม่จำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้ แล้วขยับจะไป อรณีดึงมือไว้ เตือนเธอว่ายังไม่ควรคิดเรื่องนี้ ที่สำคัญท่านคิดว่าภาธรไม่ได้รักเธอ ผู้ชายที่รักเธอจริงคือทินเทพต่างหาก
ผีเจ้าฟ้าทิพฉายในร่างปริตตายิ้มเหยียด
“ทินเทพก็แค่หมามองเครื่องบิน”
อรณีตกใจกับคำพูดก้าวร้าวของลูกตำหนิว่าพูดแบบนี้มันเกินไปแล้ว เธอไม่สนใจยืนกรานจะแต่งงานกับภาธรให้ได้ เขาคือผู้ชายคนเดียวที่เธอจะแต่งด้วยแล้วผละจากไปท่ามกลางความตกตะลึงของอรณี...
ในเมื่อหลานสาวทำให้ชาวบ้านหนองพรายขายที่ดินให้ ชาลีกับทรงศิริจึงต้องทำตามสัญญาด้วยการจะซื้อเรือนไทยหลังนั้นให้ เช้านี้สองผัวเมียพากันมาดูสถานที่ ชาลีรู้สึกถูกใจสถานที่แห่งนี้เดินดูรอบๆ จนมาถึงห้องปิดมืดห้องหนึ่ง วิญญาณเจ้าพระยามหศักดิ์ เสนาบดีผู้ใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพราะการมาถึงของเขา ทันใดนั้นมีเสียงดังโครมมาจากในห้องนั้น ชาลีขยับจะไปดูใกล้ๆ ทรงศิริเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“จะทำอะไรคะ”
“เหมือนมีคนอยู่ตรงห้องนั้น” ชาลีชี้ไปที่ห้องมืด ทรงศิริโวยจะมีใครได้อย่างไรบ้านเก่าโทรมขนาดนี้จ้างให้เธอก็ไม่มาอยู่ เขามองไปที่ห้องนั้นอีกทีแต่ไม่เห็นอะไรจึงพากันกลับ โดยไม่รู้ว่าถูกวิญญาณเจ้าพระยามหศักดิ์มองตามด้วยสายตาน่ากลัว
ooooooo