ตอนที่ 6
“ฉันจำได้ ตอนเด็กๆพ่อเคยพาฉันกับไอ้ผาไปกราบสหายทั้งแปดคนของพ่อ แต่หลังจากที่สามในแปดถูกตำรวจกวาดล้าง ธงนี้ก็ไม่เคยถูกโบกขึ้นอีกเลย”
เสือผันส่ายหน้า “ภาคีพยัคฆ์ดำไม่ได้หายไป ไหนหรอก เพียงแต่ชื่อนี้ไม่ได้ถูกพูดถึงเลยเป็นสิบๆปี ก็เพราะไม่อยากให้ถูกจับตามองจากพวกตำรวจ มากกว่า”
“แสดงว่าพ่อยังติดต่อสหายที่เหลืออยู่”
“ใช่...บางคนก็ยังช่วยเหลือกันดี คอยแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน แต่บางคนก็...ไม่!”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของพ่อทำให้ผจงจับเค้าลางได้ แสยะยิ้มร้าย
“ฉันพอเข้าใจแล้วว่าศึกในที่พ่อพูดถึงหมายความว่าอะไร”
“เข้าใจก็ดี ไปเตรียมตัวไปกับข้า ได้เวลาที่ต้องเดินทางไปพบสหายเก่าๆแล้ว”
“ได้เลยจ้ะพ่อ แล้วไอ้ผาล่ะ พ่อใช้ให้มันไปทำอะไร”
“ธุระบางอย่าง...เอ็งไม่จำเป็นต้องรู้ ไปได้แล้ว!”
ooooooo
เพชรน้ำผึ้งเพลิดเพลินกับการชมลิเกครั้งแรกในชีวิตมาก อดไม่ได้เอ่ยปากกับพิกุลอยากให้ชาวลิเกเลิกเป็นโจรและกลับไปตั้งคณะลิเกอีก
“ชีวิตจริงมันไม่ได้ง่ายไปซะทุกอย่างหรอกน้ำผึ้ง”
“ทำไมล่ะพิกุล คนเก่งมีฝีมือ อยู่ที่ไหนก็ไม่อดตาย”
ภูผากลับจากบ้านเสือผันได้ยินก็โพล่งขัดเมียกำมะลอ
“พูดอย่างกับว่าเธอเคยออกมาเผชิญชีวิตหาเช้ากินค่ำแล้วอย่างนั้นแหละ”
ชาวลิเกในคราบโจรแยกย้ายไปเตรียมตัว เพราะภูผาบอกว่าต้องออกไปทำภารกิจสำคัญของเสือผัน เพชรน้ำผึ้งไม่ชอบใจสวนเขาอย่างไม่ยอมแพ้
“พี่ผา...ถ้าพี่รักลูกน้องจริง พี่น่าจะสนับสนุนให้ลูกน้องทำอาชีพสุจริตมากกว่าสนับสนุนให้เป็นโจรนะ”
พิกุลได้ยินดังนั้นก็เบิกตาโต รู้ตื้นลึกหนาบางดีจนต้องปรามหม่อมหลวงสาว
“น้ำผึ้ง! ถ้าเธอไม่รู้อะไรก็อย่าพูดดีกว่า มันทำให้พี่ผาไม่พอใจ”
เพชรน้ำผึ้งจะเถียง พิกุลยิ่งโมโห ภูผาต้องห้ามทัพและบอกว่าจะจัดการเมียด้วยตัวเอง
พิกุลผละกลับบ้านไปแล้ว ภูผาเลยลากเมียกำมะลอไปคุยที่คอกม้า เพชรน้ำผึ้งสะบัดมือออกเคืองๆ
“หยุดลากฉันเป็นวัวเป็นควายซะทีได้ไหม ฉันเจ็บนะ! จะโกรธอะไรนักหนา ในเมื่อสิ่งที่ฉันพูดคือความหวังดี”
“นี่มันชีวิตจริงนะ ไม่ใช่นิยายประโลมโลกที่ทุกอย่างมันจะสวยงามเหมือนเธอกำลังวิ่งเล่นในทุ่งดอกไม้”
“แต่ที่ฉันพูดมันก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันนี่ ลูกน้องพี่ท่าทางเป็นคนดี ก็เหมือนกับพี่ที่ดูยังไงก็ไม่น่ามาเป็นโจร ถ้าเลิกเป็นโจรวันนี้ อนาคตดีๆก็สร้างได้ด้วยมือพวกพี่เหมือนกัน”
ภูผาชะงัก ไม่ใช่ไม่คิดแบบเธอแต่มันยังไม่ถึงเวลา เพชรน้ำผึ้งเห็นอาการเขาก็แกล้งถาม
“ฉันพูดถูกใช่ไหม”