ตอนที่ 11
ขณะที่ทุกคนในร้านข้าวต้มมีชีวิตดี ทรงวาดกลายเป็นเถ้าแก่ของร้าน ปิ่นมุกใกล้เรียนจบและก๊กไช้ ได้เป็นบัณฑิตเต็มตัว ชาญยุทธกลับเจอวิกฤติเมื่อพันเดช ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลสมัยนี้
ชาญยุทธโกรธมากปรี่ไปคาดคั้นเหตุผลจากหัวหน้าพรรคที่คุ้นเคยกันตั้งแต่สมัยการันต์ยังมีชีวิต
“มันจำเป็นน่ะคุณชาญยุทธ เลือกตั้งคราวนี้ผู้สมัครในกลุ่มคุณก็มีคุณคนเดียว แต่กลุ่มคุณพันเดชมีตั้งยี่สิบแปดคนแล้วจะไม่ให้เขาได้เก้าอี้ได้ยังไง”
“งั้นที่ผมช่วยงานพรรคมาตลอดก็ไม่มีความหมายเลยใช่ไหมครับ”
หัวหน้าพรรคหน้าตึงก่อนยื่นข้อเสนอแบบขอไปที “มันมีตำแหน่งประธานกรรมาธิการว่างอยู่ คุณไปนั่งตรงนั้นพลางๆก่อนก็แล้วกัน รอไว้ปรับคณะรัฐมนตรีค่อยว่ากันอีกที”
“ฟังดูเหมือนซื้อเวลาเลยนะครับท่าน”
“ได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เลยนะคุณชาญยุทธ ลองกลับไปตัดสินใจดูอีกทีก็แล้วกัน”
ชาญยุทธเจ็บใจมาก ระบายอารมณ์กับวิสูตรอย่างเหลืออดเมื่ออีกฝ่ายแนะนำให้อดทนรอโอกาสเหมาะสม
“ทนๆ...ฉันทนมากี่ปีแล้ว ต้องทนไปจนตายรึไง!”
“แต่ถึงอิทธิพลและฐานะในพรรคคุณอ้ายจะแย่ลงแต่ธุรกิจคุณอ้ายกำไรพุ่งทุกตัวเลยนะครับ มองในแง่นี้ก็ถือว่าไม่เลวเท่าไหร่ เอ่อ...ถ้าคุณอ้ายถอนตัวตอนนี้ก็อยู่ได้สบายเลยนะครับ”
วิสูตรพูดตามที่คิดและเห็นสถานการณ์ของชาญยุทธมาตลอดสองปี หลังยึดกิจการโรงสีคืนจากทรงวาดรวมกับขายสินค้าที่กักตุนตอนเกิดวิกฤติน้ำมันขึ้นราคาทำให้ชาญยุทธได้เงินเป็นกอบเป็นกำ แต่ชาญยุทธไม่พอใจและคิดว่าวิสูตรไม่เชื่อมือเขาว่าจะตามรอยการันต์ได้
“อย่าพูดคำว่าถอนตัวให้ฉันได้ยินอีก ถ้าแกแก่จนหมดเขี้ยวเล็บแล้วก็อยู่เฉยๆไป”
ชาญยุทธมุ่งมั่นจะยิ่งใหญ่แบบพ่อและเอาชนะพันเดช วิสูตรได้แต่เฝ้ามองด้วยความหนักใจก่อนบากหน้าไปหาทรงวาดที่กำลังวุ่นวายช่วยปิ่นมุกบริหารเงินและกำไรที่ได้จากร้านข้าวต้ม