ตอนที่ 1
พุกกับวันอุทานเรียกดวง แล้วจะเข้าไปหาดวงแต่ขยับเขยื้อนไม่ได้ ดวงยังคงร้องเพลงท่อนสุดท้ายทั้งที่เลือดไหลจากตาและจมูกไม่หยุด เสียงร้องของดวงคลอไปกับเสียงร้องของเทิดที่ดุดัน...
“ยอกแสยงทำกูบ้าน้ำตานอง จักสนองให้ถึงฆาตจนขาดใจ ต่อแต่นี้กูจักล่าระยำชั่ว จงมุดหัวอย่าให้รู้อยู่แห่งไหน จักตามติดทุกภพชาติไม่คลาดไป เวรกรรมมึงต้องชดใช้คืนให้กู”
เลือดไหลออกจากทวารทั้งเก้าของดวงจนชุ่มตัวนองพื้น กล้าพยายามหยุดเล่นแต่หยุดไม่ได้ จึงตะโกน
“หยุดร้องแม่ดวง หยุดร้อง” พุกก็ได้แต่ร้องเรียกแม่ดวง...แม่ดวง จนดวงร้องเพลงท่อนสุดท้ายจบและกระอักเลือด กล้าจึงหยุดเล่นซอและลุกขึ้นได้แต่ก้าวออกไปได้เพียงก้าวเดียวก็ล้มลง พุกกับวันตกใจตะโกนเรียกทั้งดวงและกล้าแล้ววิ่งเข้าประคองทั้งสอง
พลันก็มีเสียงหัวเราะอย่างสะใจน่าสะพรึงกลัวของเทิดกึกก้องขึ้น ชาวบ้านวิ่งหนีกันโกลาหล ท้องฟ้ามืดทะมึน เสียงหัวเราะของเทิดยังกึกก้องอย่างน่าสะพรึงกลัว...นั่นคือเหตุการณ์เมื่อ 125 ปีก่อน...
ooooooo
กรุงเทพมหานคร ในปี 2560 ที่มีตึกสูงเสียดฟ้า มีรถไฟฟ้าและคัตเอาต์โฆษณาทุกอย่างทันสมัย
ที่คณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง รถเก๋งคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่หน้าตึก พอประตูรถเปิด ยชญ์ นุ่งยีนส์ ใส่เสื้อเชิ้ตพับแขน ใส่แว่นกันแดด ก้าวลงจากรถสมาร์ทมาดเท่หล่อขั้นเทพ พวกนักศึกษาสาวๆที่นั่งอยู่โต๊ะใต้ต้นไม้หน้าคณะ ต่างมองเป็นตาเดียว
“เฮ้ย...แก พี่ยชญ์” นักศึกษาหญิงคนหนึ่งร้องอย่างตื่นเต้น
“ฝันกลางวันเหรอ พี่ยชญ์จบไปตั้งนานแล้ว” อีกคนไม่เชื่อ แต่พอมองตามสายตาเพื่อนไปก็ร้องตื่นเต้นยิ่งกว่า “พี่ยชญ์จริงๆด้วย...”
นักศึกษาสาวทั้งกลุ่มวิ่งไปหายชญ์ ยชญ์หันมาตกใจ ถอดแว่นกันแดดออก ยิ้มเท่กับทุกคนอย่างกันเอง พวกเธอขอเซลฟี่ด้วยก็ยินดีเต็มใจ นักศึกษากลุ่มนี้ยังไม่หายตื่นเต้น อีกกลุ่มก็กรูเข้ามาทำแบบเดียวกัน
ยชญ์ยิ้มแย้มแจ่มใสพูดคุยและถ่ายรูปกับพวกเธอ อยู่นานแล้วจึงโบกมือลาวิ่งขึ้นตึกคณะศิลปกรรมไป
นักศึกษาสาวกลุ่มนั้นมองตามอย่างปลื้มสุดๆ
ยชญ์เดินมาถึงห้องซ้อมดนตรีแว่วเสียงซอสามสายออกมา เขาหยุดยืนฟัง ครู่เดียวก็ขมวดคิ้วเดินเข้าไปในห้อง เห็นเมญากรนั่งสีซอหันข้างให้ประตูท่าทางเธอตั้งใจและเพลิดเพลินกับการสีซอมาก
“สอนไม่รู้จักจำ” ยชญ์พูดขึ้นเรียบๆ เมญากรหันมองพอเห็นเป็นยชญ์ก็ทำหน้าเฉยหันไปสีซอต่อไม่สนใจ เสียงยชญ์ดังมาอีกว่า “รั้น” เมญากรไม่พอใจยังเล่นต่อแต่สีแบบกระแทกกระทั้นทำให้ผิดจังหวะ
“นักดนตรีอารมณ์ไม่คงที่ก็พลาดแบบนี้แหละ”
“ที่เล่นพลาดก็เพราะมีคนมาป่วนไง” เมญากรลุกขึ้นไปประจันหน้า ยชญ์โต้ว่าไม่ได้ป่วนแต่เตือนด้วยความหวังดี ชี้ว่าตนยืนฟังเธอมีแผ่วไปหลายจุด เตือนหลายครั้งแล้วทำไมไม่จำ “ฉันจะจำเฉพาะที่อาจารย์สอนเท่านั้น รุ่นพี่ปากเสียอย่างนายฉันไม่สน”
ยชญ์บ่นว่าเด็กสมัยนี้ไม่รู้จักเคารพรุ่นพี่รุ่นน้อง เมญากรสวนทันควันว่าตนคงไม่มีกรรมมากพอที่จะได้เกิดเป็นน้องเขาหรอก ก็พอดีโฉมยงค์มาตามยชญ์และบอกเมญากรว่าให้ตามเพื่อนๆไปประชุมที่ห้องเล็ก ตนมีเรื่องด่วนจะแจ้งทุกคน แล้วชวนยชญ์ไปกัน
ยชญ์ส่ายหน้าใส่เมญากรเบื่อๆ แล้วเดินตามโฉมยงค์ไป พอยชญ์หันหลังเมญากรก็ทำท่าจะชกเขา ยชญ์หันกลับมา เธอรีบเอามือลงทำเป็นเกาหัว ยชญ์มองอย่างรู้ทันแต่ไม่พูดอะไรเดินตามโฉมยงค์ไป
เมญากรไม่วายเบ้หน้าย่นจมูกใส่แล้วรีบไปตามเพื่อนๆตามที่โฉมยงค์บอก
ooooooo
ที่ห้องประชุมเล็ก โฉมยงค์นั่งคู่กับยชญ์ที่หัวโต๊ะ เมญากรหรือเมนั่งอยู่อีกด้านกับพวงแพรหรือแพรเพื่อนสนิท แพรกระซิบถามเมอย่างตื่นเต้นว่าพี่ยชญ์มาทำอะไร หรือจะมาเป็นอาจารย์พิเศษสอนพวกเรา
เมบอกว่าถ้ามาสอนจริงตนจะลาออกจากสาขาสังคีตศิลป์คนแรกเลย แพรถามขำๆว่า
“เมื่อไหร่แกจะเลิกเกลียดพี่ยชญ์สักทีนะ พี่เขาน่ารักจะตาย”
เมลอยหน้าทำท่าคลื่นไส้แทนคำตอบ สองสาวไม่รู้ว่าทุกอิริยาบถอยู่ในสายตาของยชญ์ตลอดเวลา
เมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว โฉมยงค์แจ้งข่าวดีว่านับแต่พรุ่งนี้พี่ยชญ์จะมาช่วยคุมการฝึกซ้อมรอบชิงชนะเลิศงานสังคีตศิลป์ถิ่นไทย เสียงนักศึกษาเฮดีใจ แต่เมญากรยกมือขึ้นท่าทางไม่พอใจ โฉมยงค์ถามว่าเมมีอะไร เมลุกขึ้นถามฉอดๆ
“อาจารย์มาโนชก็ควบคุมการซ้อมอยู่แล้วนี่คะ ทำไมต้องให้...อ้อ...พี่ยชญ์มาช่วยด้วยคะ”
“คุณพ่อพี่ท่านเข้าโรงพยาบาลกะทันหันเมื่อคืนนี้...พี่เลยต้องไปขอร้องให้พี่ยชญ์เขามาช่วยสอนพวกเรา เพราะพี่เองก็สอนได้แค่ขับร้อง แต่เรื่องดนตรีทุกคนคงเชื่อมือพี่ยชญ์ใช่ไหม”
นักศึกษามองหน้ากัน เมมองยชญ์เยาะๆ ทันใดนั้นนักศึกษาทุกคนก็ลุกขึ้นปรบมือให้ยชญ์ก้องไปทั้งห้องประชุม ยชญ์ก้มหัวยิ้มให้ทุกคนอย่างขอบคุณแล้วเหลือบมองเมที่หน้าเจื่อนอย่างขำๆ โฉมยงค์ยิ้มโล่งอก
หลังจากนั้นโฉมยงค์กับยชญ์ไปเยี่ยมมาโนชที่โรงพยาบาล ในสภาพที่มาโนชต้องใช้เครื่อง ช่วยหายใจ
“ทำไมอาจารย์ถึงเส้นเลือดในสมองแตกได้ครับ” ยชญ์มองมาโนชอย่างเป็นห่วง
“คงเครียดเรื่องที่อธิการบดีคนใหม่จะไม่ยอมให้ส่งเด็กเข้าประกวดงานสังคีตศิลป์ถิ่นไทยน่ะจ้ะ คุณพ่อหวังไว้มากว่าถ้าเราชนะ บางทีด็อกเตอร์พิบูลจะหันกลับมาให้ความสำคัญกับสาขาสังคีตศิลป์ไทยมากกว่าที่เป็นอยู่ ตอนนี้เราขาดทั้งงบประมาณและบุคลากรที่จะมาถ่ายทอดให้นักศึกษา ถ้าเป็นแบบนี้อีกไม่นานสาขาเราคงโดนยุบแน่ๆ”