ตอนที่ 12
ด้านหน้าห้อง ผินกับแย้มคุยกันว่าแม่นายจะอ่านอย่างนี้ทั้งคืนหรือไม่ แล้วอดปลื้มปริ่มว่าท่านขุนรักแม่นายเหลือเกิน ถึงขนาดบันทึกมาอยากให้นางได้เห็นอย่างที่ท่านเห็น
ด้านขุนศรีวิสารวาจาเห็นออกญาโหราธิบดีมีท่าทางป่วยไข้ก็ถามไถ่อย่างห่วงใย ท่านบอกสามวันดีสี่วันไข้มิเป็นกระไรมาก แล้วเปรยว่าลูกไปเกือบสองปี ที่นี่มีเรื่องมากมาย “เกิดกบฏมักกะสันของพวกแขกจาม หากแต่พระวิไชยเยนทร์ผัวนางตองกีมาร์ได้กำราบเสียสิ้น อำนาจฝรั่งผู้นั้นเริ่มล้นเหลือ สึกพระไปสร้างป้อมสร้างกำแพงเสียมากมาย พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรบ่อยครั้ง ก็มีเพียงพระวิไชยเยนทร์แลพระปีย์ที่พระองค์ท่านทรงเรียกหาให้เข้าเฝ้า” ขุนศรีวิสารวาจาแปลกใจว่าใคร ออกญาบอกว่ายศใหม่ที่ฟอลคอนได้รับหลังจากปราบกบฏมักกะสัน ท่านขุนนึกได้ว่าเคยได้ยินการะเกดพูดชื่อนี้ ออกญาสบตาลูกอย่างฉุกคิดบางอย่าง
ooooooo
ค่ำนั้นเกศสุรางค์ยืนยิ้มมองจันทร์ คิดถึงคำพูดของท่านขุนที่ว่า มิได้หอบนางฝรั่งมาแลมิได้ยุ่งเกี่ยวกับนางฝรั่งคนใด คิดแล้วก็ทำท่าเขินพึมพำ “บื้อจัง แต่ก็...น่ารักเป็นบ้า”
พอหันกลับมาก็ชนเข้ากับขุนศรีวิสารวาจาจนเซ เขารวบตัวเธอไว้ทันแล้วถามออกมาทำไม ฝนเพิ่งซาเม็ด เธอจึงย้อนถามเขาเช่นกัน แล้วกระเซ้าหรือคิดถึงตน ท่านขุนอมยิ้ม
“ข้ามาดูดวงจันทร์ ดูที่อื่นไม่ชัดเท่าตรงนี้”
“หืม...ที่เมืองฝรั่งไม่มีดวงจันทร์หรือเจ้าคะ น่าจะมองเห็นอยู่ทุกคืนนะเจ้าคะ”
ท่านขุนตอบว่าเห็น แล้วเบนสายตาหนี หญิงสาวขำแกล้งเอาไหล่กระแทกไหล่เขาและดักคอว่า คิดถึงตนก็บอกมา ท่านขุนนิ่งไปสักพักก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมาว่า
“ไม่มีวันใดที่ข้าไม่ระลึกถึงเจ้า” ว่าแล้วก็เดินจากไป
“ร้ายนักนะ...แต่ก็น่ารักดีแฮะ” เกศสุรางค์หัวเราะไล่หลัง เก็บความวาบหวามไว้ทั้งคืน
รุ่งเช้า เกศสุรางค์ใส่บาตรเสร็จ ผินกับแย้มกระซิบถามว่าเมื่อคืนฝันดีหรืออย่างไร ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ แล้วถามว่าฝันอะไร หญิงสาวตอบขำๆว่า ฝันว่ามีคนมาปิ๊ง...
“ปิ้งหรือเจ้าคะ?” ผินถามหน้าตาเหลอหลา
“ปิ๊ง...ไม่ใช่ปิ้ง ปิ้งก็ไหม้หมดน่ะสิ”
สองบ่าวหัวเราะน้ำหมากย้อย ขุนศรีวิสารวาจาเดินเข้ามาบอกให้ผินกับแย้มขึ้นเรือนไปก่อน ทั้งสองรีบเดินออกมาแล้วทำมือโอเคให้กัน จ้อยเห็นงงๆ ทั้งสองจึงสอนให้จ้อยทำด้วย
ขุนศรีวิสารวาจากับเกศสุรางค์ยืนมองสายน้ำ
และเรือที่พายผ่านไปมา มีม่วงนั่งรอในเรือที่ท่าน้ำ
ท่านขุนกล่าวขึ้นว่าตนต้องไปแล้ว หญิงสาวรู้ว่าจะไปเข้าเฝ้าขุนหลวง เขาพยักหน้า
“วันนี้โปรดให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ อ่านเรื่องราวที่ไปเยือนฝรั่งเศส...คุณอาขุนปานเป็นผู้บันทึก แลให้ข้าเป็นผู้คัดลอกข้อความ”
“อ้าว...ที่เขียนในสมุดให้ข้านั่น ลอกจากอาขุนปานหรือเจ้าคะ” เกศสุรางค์ฉงน
“ข้อความในนั้นข้าเขียนเองทุกคำ...ความระลึกถึงของผู้ใดจักใช้คำของผู้อื่นได้เล่า โดยเฉพาะที่มีอยู่เต็มหัวอกจนต้องหาที่ระบายออก หาไม่คงจักอัดแน่นจนเจ้าของหัวอกนั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปมิได้” เกศสุรางค์ฟังแล้วสะท้านใจ “หนาวหรือเจ้า...ข้าอยากได้ยินเสียงหัวใจของออเจ้า” เกศสุรางค์ส่ายหน้าไม่อาจสู้สายตาท่านขุนได้ ก้มหน้าเขินอาย ท่านขุนจึงบอกว่า “เมื่อถึงครา...ออเจ้าก็มิใช่คนเก่งอันใดเลย...เพลาค่ำนี้จักมาฟัง”
ท่านขุนพูดจบเดินไปลงเรือ เกศสุรางค์โบกมือ ท่านขุนส่ายหน้าเบาๆปรามแต่เธอยังโบกไม่หยุด ท่านจึงเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะโบกมือตอบด้วยกิริยาเคอะเขิน...ม่วงแอบหัวเราะจึงโดนเอ็ด เสียงเกศสุรางค์ตะโกนบอกให้เขากลับเร็วๆ ท่านขุนยิ้มแก้มแทบปริ
พอกลับขึ้นเรือน เห็นจำปากำลังสั่งบ่าวไพร่ค้นหาของจ้าละหวั่น ผินกระซิบบอกว่าสร้อยหรือจี้ฟังไม่ถนัดของแม่นายหาย...จำปาบ่นพึมว่าต้องมีคนใกล้ตัวเอาไป ปริกได้ยินสะดุ้งถามสงสัยตนหรือ จำปาว่ามีเหตุให้สงสัยเพราะปริกเข้าออกห้องตนได้ตลอดเวลา ปริกน้อยใจเถียงก่อนจะเดินหนี จำปาสั่งเสียงเข้มให้นั่งอยู่ เกศสุรางค์รีบเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์
“คุณป้าเจ้าขา แม่ปริกไม่ได้เอาไปหรอกเจ้าค่ะ เพราะแม่ปริกไม่มีนิสัยขโมยหรอกเจ้าค่ะ”