ตอนที่ 12
เกศสุรางค์นั่งจดบันทึกการเดินทางของคณะทูตไปฝรั่งเศส วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2228 โดยเรือสำเภาใหญ่ชื่อมาลีนและลัวโซ มีนักเรียนช่างตามไปอีก 20 คนไปเรียนวิชาแบบฝรั่ง
“ตรงตามประวัติศาสตร์ทุกอย่าง” เกศสุรางค์พึมพำ
ผินกับแย้มนั่งพับผ้าอยู่ข้างๆได้ยิน อดถามไม่ได้ว่า ประวัติศาสตร์เล่าเรื่องท่านขุนไปเมืองฝรั่งหรือไม่ เกศสุรางค์ทึ่งที่สองบ่าวพูดได้ชัดเจน ทั้งสองบอกยิ้มๆว่าได้ยินแม่นายพูดบ่อย
“โอเค...ประวัติศาสตร์บอกว่าอย่างนี้นะ กลางทางเรือไปเจอคลื่นน้ำวนด้วยลมมรสุม เรือก็เลยลอยขึ้นลงสูงเหมือนตึกหลายชั้น เรือก็หมุนรอบตัวเอง แล้วตกไปอยู่ในวังน้ำวน ถ้าไม่มีอาจารย์ชีปะขาวไปช่วยดึงเรือขึ้นมาจากน้ำวนนั่นน่ะ ก็...เรือล่มจมหายไปในทะเลชัวร์”
ผินรีบถามว่าเป็นจริงอย่างประวัติศาสตร์หรือ แย้มบอกให้รอฟังท่านขุนกลับมาเล่า เกศสุรางค์บอกว่าอีกปีกว่าท่านขุนถึงกลับ สองบ่าวตบอกใจหายบ่นว่าคนทางนี้คิดถึงแย่ เกศสุรางค์ชะงัก เป็นจริงอย่างที่สองบ่าว พูด น้ำตาเอ่อล้นออกมาในทันที สองบ่าวเข้าปลอบประโลม
ค่ำคืนนั้น เกศสุรางค์กำลังจะล้มตัวลงนอนได้ยินเสียงแม่เรียกจึงชะงักหันมอง เห็นสิปางยืนอยู่หน้าเตียงก็ส่งเสียงเรียกดังว่าแม่จ๋า...ผินกับแย้มสะดุ้งลุกขึ้นมองเห็นแม่นายนอนเงียบ จึงลงนอนต่อ สิปางเข้าประคองหน้าเกศสุรางค์ยิ้มให้กำลังใจ เธอรีบถาม
“แม่มากับใคร...คุณยายล่ะคะ”
สิปางหันไปทางประตู ยายนวลยืนยิ้มกว้างอยู่ เกศสุรางค์โผเข้าไปกอดยายร่ำไห้ สิปางเข้ามาร่วมกอด ถามลูกเสียใจหรือที่แม่กับยายมาหา เธอส่ายหน้าบอกดีใจที่สุด สามคนแม่ลูกและยายพร่ำบอกความคิดถึงต่อกัน แม่กับยายยิ้มไม่มีน้ำตาสักหยด
“แม่รู้ว่าเกศคิดถึงแม่ คิดถึงคุณยาย แล้วก็คิดถึงใครอีกบางคนที่เขาอยู่แสนไกลแต่เขามาหาเกศไม่ได้ แม่ถึงมาหาเกศไง”
เกศสุรางค์หันมากอดแม่แนบแน่นขอให้อยู่ด้วยนานๆ สิปางบอกเดี๋ยวแม่กับยายก็ต้องกลับไปใส่บาตร หญิงสาวอ้อนยายนวลขอให้หยุดใส่หนึ่งวัน แต่ยายนวลบอกว่า
“ไม่ได้หรอกลูก พ่อเรืองฤทธิ์เขาคอย...” ขาดคำทุกอย่างก็มลายหายไป
เกศสุรางค์สะอื้นร้องเรียกแม่กับยายอย่าเพิ่งไป ผินกับแย้มเข้ามาแตะร่าง เธอผวาตื่น สองบ่าวถามอย่างห่วงใยว่าฝันร้ายหรือ...เกศสุรางค์หน้าเศร้าเมื่อพบว่าทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน
รุ่งเช้า เกศสุรางค์ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าหมองเศร้า จะต้องไปเรียนการเรือนกับจำปา...เกศสุรางค์เห็นมีอุปกรณ์คือตะคันกับทวน และดินสอพองที่ซื้อมาจากละโว้ ตากแห้งแล้ว
“ข้าจักสอนออเจ้าอบร่ำแป้งดินสอพอง อบร่ำนี้ ต้องทำซ้ำๆสามวัน ตัวแป้งจักดูดเอากลิ่นหอมเข้าไปทำให้หอมทน แลต้องอบด้วยดอกไม้สดอีกสามวันจักได้หอมยิ่งขึ้นไป”
จากนั้นจำปาก็ให้เอากำยาน อบเชย กานพลู เปลือกชะลูด ลูกจันทร์ น้ำตาลทรายแดง ไม้จันทน์หอม และไม้กฤษณา ใส่ครกตำให้แหลกละเอียด แล้วเปิดโถเคลือบที่ใส่ชะมดเช็ด ลักษณะคล้ายขี้ผึ้งสีเหลืองๆ โดยสอนว่า ต้องฆ่าชะมดเช็ดด้วยน้ำมะกรูดหรือผิวมะกรูดสับละเอียดลนไฟใส่ลงไปให้สะตุฆ่าพิษ ชะมดจะละลายตัวแล้วจึงเอาไปผสมกับเครื่องร่ำที่ตำได้ในอ่างเคลือบ
“เอาทั้งหมดที่ตำได้มาผสมกับชะมดเช็ดหอมๆ มันจะหอมมาก เอาตะคันกับทวนมา...ตะคันวางข้างบน ทวนนี่วางตั้ง ผ้าขาวบางปิดอ่าง เราเรียกว่า แป้งร่ำกระแจะจันทร์”
เกศสุรางค์สูดกลิ่นหอมอย่างชื่นใจ จำปาย้ำว่าเป็นแม่หญิงจะออกเรือนต้องทำให้เป็นทุกอย่าง เพลาสั่ง บ่าวไพร่จักได้ไม่อายใคร อาหารต้องรู้จักปรุงแต่งทั้งคาวหวาน จักผูกมัดใจชาย ทุกอย่างล้วนเป็นเสน่ห์ของแม่หญิง...เกศสุรางค์ยิ้มรับคำ จำปาใจอ่อนเอื้อมมือไปลูบหัวอย่างเอ็นดู แต่พอเกศสุรางค์เอ่ยปากขอไปเยี่ยมจันทร์วาด ก็หดมือกลับทันที
ปริกกระแนะกระแหน “เห็นแม่นายใจดีไงเจ้าคะ เลยกำเริบใจ”
จำปามองปริกอย่างอ่อนใจกับปากของนาง ก่อนจะหันมาบอกการะเกดว่า ไปแล้วอย่าเถลไถลหรือก่อเรื่องที่ไหนอีก กำชับผินกับแย้มให้ดูแลนายให้ดี ทั้งสองก้มหัวรับคำ
ooooooo