ตอนที่ 12
มารีกังวลในเรื่องนี้ถึงได้มาบอก ไม่อยากให้ถึงเลือดถึงเนื้อถึงความตาย เกศสุรางค์จึงขอให้มารีจับตาดูฟอลคอนไว้ อย่าให้ทำอะไรที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง
“ถ้าเจ้ายึดมั่นความถูกต้องนะแม่มารี ต่อไปเจ้าจะไม่อายฟ้าอายดิน ใครจะรู้ว่ามันอาจทำให้เจ้ามีชื่อจารึกไว้...ต่อไปอีกเป็นสิบเป็นร้อยปี อาจยังมีคนจดจำเจ้าได้ไม่ลืม” เกศสุรางค์พูดทำนองรู้กาลข้างหน้า แต่ไม่สามารถบอกได้ มารีรู้สึกเลื่อมใสความคิดของการะเกด
พอมารีกลับไป เกศสุรางค์ก็นำความมาบอกออกญาโหราธิบดี...วันต่อมาระหว่างรอเข้าเฝ้าขุนหลวง ออกญาโหราธิบดีเล่าเรื่องที่มารีบอกให้พระเพทราชากับ
หลวงสรศักดิ์ฟัง สองพ่อลูกเชื่อว่าฝรั่งสัญชาติไพร่อย่างฟอลคอนต้องคิดไม่ซื่อแน่
ooooooo
หลายวันผ่านไป ปริกกลับจากตลาดเห็นบ่าวไพร่ทำอาหารกันอย่างขะมักเขม้นไม่สนใจ จึงเปรยว่าถ้าตนบอกว่าขุนศรีวิสารวาจากลับมาคงจะตื่นเต้นกัน พริบตาเดียวทุกคนในครัววิ่งพรวดออกไป เหลือปริกยืนโด่เด่อยู่คนเดียว
เกศสุรางค์ทัดดอกไม้ที่หูเดินออกมาจากห้อง
ไม่ฟังคำทัดทานของผินกับแย้ม พอเจอจำปาจึงโดน
เล่นงานว่าทำแบบนี้มีแต่ผู้หญิงงามเมือง หญิงสาวโต้เถียงว่าเรารู้แก่ใจว่าเราไม่ใช่ เดินอยู่แต่ในบ้านไม่เสียหายอะไร จำปาสะอึกที่โดนย้อนลมขึ้นเรอเอิ้กๆ...
บ่ายคล้อย ออกญาโหราธิบดีกับจำปานั่งรอคอยด้วยท่าทางพยายามสงบความตื่นเต้น ปริกเดินแทรกบ่าวไพร่เข้ามานั่งแทบเท้าจำปาสีหน้าเซ็งทำนองไม่มีใครรอ เกศสุรางค์เองก็ตื่นเต้นพึมพำว่าหมอนของตนป่านนี้จะเน่าแค่ไหน ทันใดขุนศรีวิสารวาจาเดินขึ้นเรือนพร้อมกับกอดห่อหมอนมาด้วย สบตาเกศสุรางค์ด้วยแววตาระยับ บ่าวไพร่เห็นแล้วอมยิ้มตามๆกัน
ขุนศรีวิสารวาจาเข้ามากราบพ่อกับแม่ เกศสุรางค์ทักว่าเขาดูขาวขึ้น ท่านขุนหันมาเผชิญหน้า บอกทางโน้นไม่มีแดด มีแต่ลมหนาว ว่าแล้วกอดกระชับหมอน
ให้เห็น หญิงสาวสะเทิ้นอายเสียเอง จำปาแทรกว่าให้การะเกดไปจัดของว่างและน้ำชาให้ท่านขุน
ระหว่างที่เกศสุรางค์จัดวางของว่างและน้ำชาตรงมุมหนึ่ง ขุนศรีวิสารวาจานั่งจ้องมองแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ออเจ้าดูสมบูรณ์ขึ้นหนา มิผอมเกร็งอย่างแต่ก่อน”
“หือ...แปลว่าอ้วนเหรอเจ้าคะ” เกศสุรางค์ก้มสำรวจตัวเอง
“มิอวบอ้วนดอก มีน้ำมีนวลกำลังงาม”
“แหมใจหายเลย คุณพี่เป็นกระไรบ้างเจ้าคะ เจ็บไข้บ้างไหมเจ้าคะ อากาศหนาวอย่างนั้น”
“มิเป็นอันใดดอก คงเพราะได้เสื้อบุนุ่นของออเจ้าจึงอุ่นสบายดี ข้ามีบางสิ่งจักให้ออเจ้าด้วยหนา” ท่านขุนส่งกล่องไม้สลักลวดลายแบบฝรั่ง
เกศสุรางค์ตื่นเต้นคาดว่าเป็นเครื่องเพชรราคาแพงหรือน้ำหอมเมืองฝรั่ง แต่พอเปิดกล่อง กลับเห็นสมุดแบบเมืองนอก ก็ทำหน้าผิดหวังงงๆ ท่านขุน
แย็บว่ามิได้หอบนางฝรั่งมาหรือยุ่งเกี่ยวกับนางฝรั่งคนใดเลย หญิงสาวบิดมือเขินอายพึมพำว่า...น่ารัก
พอได้กลับเข้าห้อง เกศสุรางค์ก้มหน้าก้มตาอ่านสมุดที่ท่านขุนให้ เป็นบันทึกเรื่องราวที่อยู่ฝรั่งเศส แม้ลายมือนั้นจะอ่านยากก็พยายาม...1 กันยายน จ.ศ. 1048 กำหนดการให้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ท้องพระโรงใหญ่พระราชวังแวร์ซาย ในห้องกระจกเป็นห้องหินอ่อนมีหน้าต่างบุด้วยกระจกเจียระไนสูงแต่พื้นจดเพดานด้านละ 17 บาน
“โห...นับด้วยเชื่อเขาเลย...ระย้าแก้วเจียระไน อะไร...อ๋อ แชนเดอเลียร์ จุดเทียนสว่างไสวห้อยย้อยจากเพดาน สวยงามแพรวพราวไปทั้งห้อง สมชื่อห้องกระจก...โถ จดมาละเอียดลออนะพ่อคุณ...พอกรมวังเบิกตัวคณะทูต ท่านราชทูตคุกเข่านำคณะคลานเข้าไป พนมมือถวายบังคมแบบเบญจางคประดิษฐ์” เกศสุรางค์เงยหน้าระลึก “คุณพี่ขุน...ข้าเคยเห็นในรูปภาพเหมือนอย่างนี้ ทุกคนแต่งเต็มยศใส่ลอมพอก กราบ เบญจางคประดิษฐ์”...