ตอนที่ 12
ขุนศรีวิสารวาจานั่งอยู่บนเตียงในห้อง มือลูบไล้หมอนของการะเกด ยิ้มแลหัวเราะเบาๆราวเสียจริต ก่อนจะนำขึ้นมาสูดดมความหอมเจือจางในเนื้อหมอน ด้วยความวาบหวามใจ
เช้ามืด เกศสุรางค์ตื่นขึ้นมีอาการคอเคล็ดเพราะไม่มีหมอนหนุนนอน ผินกับแย้มแปลกใจหมอนหายไปไหน ในขณะที่ขุนศรีวิสารวาจาแต่งตัวเดินทางยืนอยู่ที่หอกลาง กอดหมอนห่อด้วยกระดาษชุบน้ำมัน ผินกับแย้มออกมาเห็นแล้วทำมือโอเคทำนองรู้แล้วว่าหมอนหายไปไหน
ออกญาโหราธิบดีกับจำปาสงสัยว่าลูกชายหอบอะไร ทำไมไม่ให้บ่าวเอาไปลงเรือ ท่านขุนบอกว่าจะถือเอง แล้วก้มลงกราบเท้าพ่อแม่ ทั้งสองลูบหัวอวยพรให้เดินทางปลอดภัย...เกศสุรางค์สังเกตเห็นว่าคนเมืองนี้กอดพ่อแม่ไม่เป็น...ออกญาคว้าห่อหมอนมาจะส่งให้จ้อย แต่ท่านขุนรีบขอคืนย้ำว่าเป็นของสำคัญที่ตนอยากถือไปเอง เกศสุรางค์ได้ยินแล้วยิ้มเขิน
ท่านขุนหันไปสั่งปริกดูแลแม่ของตนให้ดี ปริกรับคำ เกศสุรางค์ยกมือไหว้ลา ท่านขุนเอื้อมมือเหมือนอยากกุมมือเธอแต่ยั้งไว้ ได้แต่กล่าว
“ข้าไปนานมาก ขอออเจ้าจงอยู่ดีมีสุข อย่ามีทุกข์ใจอันใด...อย่ามีใคร”
เกศสุรางค์สบตารับคำ...พอเดินลงจากเรือนจะไปที่ท่าน้ำ ขุนเรืองกับจันทร์วาดกำลังขึ้นจากเรือเพื่อมาส่ง ขุนศรีวิสารวาจาสังเกตเห็นความสนิทสนมของขุนเรืองกับจันทร์วาดก็ยิ้มยินดี หยั่งเชิงถามขุนเรืองจะไปส่งตนถึงขบวนไหม ขุนเรืองปฏิเสธเพราะอยากไปส่งจันทร์วาด
เรือสัมภาระและเรือขุนศรีวิสารวาจาเคลื่อนออกไป ขุนเรืองหันมาสบตาจันทร์วาด นางจึงบอกว่าจะขึ้นไปกราบออกญาโหราธิบดีกับจำปา ขุนเรืองรีบพูดความในใจ
“ข้า...ระลึกถึงแม่หญิงตลอดเวลา แต่ข้ามิอาจกล้าไปหาสู่แม่หญิง ด้วยคุณหญิง...”
จันทร์วาดส่ายหน้าแทรกว่า “คุณแม่ของข้าทำเช่นเดียวกับคุณแม่ของทุกผู้ ท่านจำเป็นต้องแน่ใจ แลท่านจะแน่ใจได้เพียงใดเป็นหน้าที่ของขุนเรือง”
ขุนเรืองชะงักงันพูดไม่ออก...พอจันทร์วาดกลับถึงเรือน คุณหญิงนิ่มก็ซักทันทีว่าพบเจอผู้ใดบ้าง จันทร์วาดตอบอย่างสัตย์จริงว่า เจอขุนเรืองที่ไปส่งเช่นกัน คุณหญิงหน้าเครียดไม่พอใจ
“ขุนเรืองอภัยภักดีรึ ข้าไม่ชอบ อย่าได้หวังว่าจะมาเป็นเขยเลย”
จันทร์วาดนั่งเงียบไม่รู้จะทำอย่างไรให้แม่เห็นใจ... ขณะเดียวกัน ขุนเรืองไม่อยากเชื่อคำของการะเกดที่ยุให้เขาเพียรไปหาจันทร์วาด แม้ว่าแม่ของนางจะรังเกียจ ให้เชื่อว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก และแนะนำให้เขาไปเวลาที่คุณหญิงนิ่มไม่อยู่ ฉะนั้นจะรู้ได้ก็ต้องหมั่นไปด้อมๆ มองๆว่าเรือของคุณหญิงอยู่หรือไม่...แม้ขุนเรืองจะไม่มั่นใจ แต่ก็พรางตัวพายเรือไปด้อมมอง
พอได้ยินบ่าวที่ท่าน้ำคุยกันว่าคุณหญิงนิ่มไม่อยู่ ก็รีบเข้าไปหาจันทร์วาด บอกคิดถึงทันทีตามคำของเกศสุรางค์ที่แนะนำไว้ว่า “ณ เวลานี้ ความรักมีอุปสรรคยิ่งใหญ่ จะพบกันแสนยากเพราะแม่ฝ่ายหญิงไม่เป็นใจ ขุนเรืองอย่ารีรอนะเจ้าคะ รีบบอกความในใจให้แม่หญิงจันทร์วาดหวั่นไหวเสียก่อน เข้าใจไหมคะ...กระหน่ำเลยนะคะ” ขุนเรืองคิดแล้วอดขำคำว่ากระหน่ำไม่ได้
จันทร์วาดได้ยินขุนเรืองบอกคิดถึงก็แกล้งตอบกลับอย่างนิ่มนวลว่า “แม่การะเกดมีคู่หมายแล้ว ขุนเรืองต้องหักห้ามความเสียใจนะคะ หมายปองคนที่มีคู่แล้วไม่ควรทำ”
“ถ้าเช่นนั้น...ข้าควรหมายปองใคร แม่หญิงรู้ใช่ฤาไม่ ว่ามิใช่แม่หญิงการะเกด แต่เป็นแม่หญิงจันทร์วาด”
“ท่านพูดอ้อมค้อม ข้าจึงมิอาจพูดว่าข้ารู้” จันทร์วาดสบตาอย่างเปิดเผย
กลายเป็นขุนเรืองที่ใจเต้นรัว “แม่หญิงช่างน่ารักเหลือเกิน มิน่า ข้าถึงดึงหัวใจออกจากแม่หญิงหาได้ไม่ ทั้งวันและทั้งคืนที่ข้าเฝ้าคิดถึงแม่หญิง”
จันทร์วาดขอบคุณ ขุนเรืองข้องใจทำไมนางถึงรู้ใจ นางตอบอย่างนุ่มนวล
“ขุนเรืองเจ้าคะ เป็นผู้หญิงมิใช่โง่นะเจ้าคะ ขุนเรือง ไม่ได้บอกข้าด้วยกิริยาตลอดมาหรือเจ้าคะ” ขุนเรืองปลื้มปริ่มคว้ามือนางมากุมและถามนางรักตนบ้างไหม จันทร์วาดเขินอายเล็กๆ “โธ่เอ๋ย...ขุนเรือง ถ้าแม่การะเกดรู้ว่าขุนเรืองถามข้าอย่างนี้ ต้องโดนนางเอ็ดเอาแน่ๆ”
ขุนเรืองเงิบไป เกาหัวแก้เขินทำอะไรไม่ถูก จันทร์วาดหัวเราะเสียงใส
ooooooo