ตอนที่ 13
“ก็ผมชอบกินอาหารเหนือนี่” เสียงวศินตอบจากข้างหลัง อองตองหันไปเห็นวศินก็โผกอด
หนูดีตีหน้าไม่ถูก มองหน้าเขาเขินๆเมื่อนึกถึงคำบอกเล่าของอังกาบเมื่อเช้าที่เล่าว่า เมื่อคืนหนูดีรอวศินจนหลับ เมื่อเขากลับมาก็อุ้มเธอเข้าไปนอนในห้อง นึกแล้วเขินจนหน้าแดง วศินยื่นหน้าเข้าไปใกล้ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแดง เธอรีบบอกว่าเปล่า สบายดี
“แล้วนี่คุณตัดสินใจได้แล้วเหรอว่าจะทำงานอะไร” หนูดีทำหน้าตายบอกว่าจะทำงานที่คอกม้านี่ วศินเสียงดังอย่างแปลกใจว่า “อะไรนะ?!”
หนูดีหัวเราะบอกว่าล้อเล่น พอเขาถามว่าแล้วอยากทำงานอะไร หนูดียิ้มมีเลศนัยแต่ไม่ตอบ วศินได้แต่มองอย่างสงสัย...ไม่ไว้ใจ
ooooooo
เมื่ออ้อนำคณะทัวร์ไฮโซสามคนมาถึง วศินกล่าวต้อนรับอย่างอบอุ่นยินดี คุณหญิงท่านหนึ่งเอ่ยอย่างชื่นชมว่า
“พี่อยากมาเที่ยวที่นี่ตั้งแต่อยู่ลอนดอนแล้ว สวยเหมือนไร่ชาที่เมืองนอกเลยนะคุณ”
“นี่พ่อเลี้ยงชัชชนเจ้าของไร่ค่ะ” หนูดีแนะนำ
“แหม...ตัวจริงหล่อกว่าในรูปอีกนะจ๊ะ” คุณหญิงอุทานตาโต
“ขอบคุณครับ เดินทางมาเหนื่อยๆเชิญคุณหญิงพักผ่อนทางนี้ก่อนนะครับ ทางเราเตรียมชาและขนมจากไร่ไว้ให้แล้ว” วศินเอ่ย อินทัชกับอ้อจึงพาลูกทัวร์ไฮโซทั้งสามไปพักทานขนมที่มุมหนึ่ง
พอคณะทัวร์ไป หนูดีมองวศินพูดอย่างหมั่นไส้ ว่า โดนชมว่าหล่อเข้าหน่อยยิ้มแป้นเลย เขาก็ชมตามมารยาทเท่านั้นแหละ วศินเอาคืนว่า
“คุณก็เหมือนกัน เลือกมาอยู่แผนกต้อนรับลูกค้าเพราะตัวเองก็จะได้ทำหน้าที่เจ้าของบริษัททัวร์ด้วยใช่ไหมครับ”
“เดี๋ยวนี้เราอยู่ในยุคที่คนฉลาดต้องทำน้อยแต่ได้ผลมากแล้วนะคะ” หนูดียิ้มอย่างไม่ยอมแพ้ พอถูกเขาว่าอย่างเอ็นดูว่าเจ้าเล่ห์ ก็เดินลอยชายไปที่กลุ่มทัวร์ช่วยอ้อดูแลลูกทัวร์อย่างมีความสุขกับงานที่ตัวเองรัก...
ooooooo
ฝ่ายอ้น คิดถึงคำพูดของอ้อที่เตือนว่า คนเรามีขีดจำกัดความอดทน ก็วางแผนใช้แรงบีบจากภายนอกโดยใช้สื่อคนของตนเป็นเครื่องมือ
อ้นนัดนักข่าวที่เป็นคนของตนมาพบ บอกว่าต้องการให้ทำข่าว...แล้วเอารูปหนูดีกับวศินกินข้าวที่ไร่ด้วยกันที่วินพัตราแอบถ่ายให้นักข่าวดู
“นี่มันคุณหนูดีกับพ่อเลี้ยงชัชชนนี่”
“ใช่!! เขียนข่าวตามแผนที่ผมบอกได้ไหม” นักข่าวคนนั้นบอกว่าได้ ข่าวเด็ดๆแบบนี้คนชอบอยู่แล้ว พอนักข่าวคนนั้นรับงานกลับไปแล้ว อ้นจิกตาพึมพำ “พี่จะพาหนูดีกลับมาให้ได้!!”
เวลาเดียวกัน ขณะที่วินพัตรานั่งอยู่คนเดียวที่บ้านพัก ก็อดคิดถึงอินทัชที่สารภาพรักซื่อๆไม่ได้ ทำให้คิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาที่อินทัชปฏิบัติต่อตน ไม่ว่าจะช่วยซ่อมรถ ช่วยทำแผลและพาไปชมวิวให้คลายเครียด คิดแล้วจึงรู้สึกว่าอินทัชอยู่กับตนตลอดเวลา...
เจ้าพลกาวิลเดินมาทักว่าคิดอะไรอยู่หรือลูกน้อย วินพัตราถามพ่อว่า
“พ่อคะ คนที่เรารักกับคนที่รักเรา ถ้าเป็นพ่อ พ่อจะเลือกคนไหนคะ”
“ความรักไม่มีอะไรตายตัวหรอกนะ ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความสุขเมื่ออยู่กับใครมากกว่า”
“ความสุขเหรอคะ?” แล้วภาพอินทัชก็ผุดขึ้นในความคิดอีกครั้ง ตาเธอเป็นประกายเหมือนคิดอะไรได้ บอกพ่ออย่างแจ่มใสว่า “ขอบคุณนะคะพ่อ
น้อยไปก่อนนะคะ” แล้วลุกวิ่งไปเลย
เจ้าพลกาวิลมองลูกสาวที่วิ่งเริงร่าไปงงๆ
ooooooo
ขณะพาลูกทัวร์ไปซื้อของที่ระลึกนั้น อ้อกับอินทัชมองวศินกับหนูดีคุยกันอย่างยิ้มแย้ม
มีความสุข อ้อเอ่ยกับอินทัชว่า ตนดีใจที่พี่วศินกับหนูดีเข้าใจกันได้
“เวลากับระยะทางจะทำอะไรคนสองคนที่รักกันไม่ได้หรอกครับ ถ้าเขารักกันมากพอ”
“หือ...เฉียบ คมจริง ไม่นึกเลยว่าพี่วศินจะมีผู้ช่วยที่คารมคมคายแบบนี้” อ้อชมกึ่งล้อ เลยพากันหัวเราะ พอดีอินทัชนึกได้ขอตัวไป บอกว่าต้องไปเช็กงานแต่งต้นชาฝั่งโน้น
“ขอบคุณนะคะที่มาช่วย” อ้อเอ่ย มองอินทัชที่เดินไปอย่างสนใจ...
ที่อีกมุมหนึ่ง เรือนแก้วเดินมาเห็นหนูดีอยู่กับวศินก็หน้าตึง แปลกใจว่าไหนแตนบอกว่าจะจัดการหนูดีไง แล้วทำไมเป็นแบบนี้ไปได้?
ขณะเรือนแก้วกำลังโมโหนั้น วินพัตราเดินมาจากอีกมุมหนึ่ง บอกเรือนแก้วว่า
“ตัดใจเสียเถอะคุณเรือนแก้ว...หัวใจพ่อเลี้ยงมีแต่คุณหนูดีมาตั้งแต่ต้นก่อนเจอพวกเราด้วยซ้ำ” เรือนแก้วถามว่าคุณจะยอมแพ้เหรอ “เคยมีคนบอกฉันว่า...ความรักมักวิ่งหนีคนที่ไล่ตามหามัน ต่อให้คุณพยายามไขว่คว้าเท่าไหร่ก็ยิ่งเจอแต่ความว่างเปล่า น้อยว่า...เราวิ่งตามคนที่ไม่มีทางรักตอบเรามานานเกินไปแล้ว คุณไม่เหนื่อยเหรอคะ คุณเรือนแก้ว”
“ถ้าคุณน้อยเหนื่อย อยากยอมแพ้ก็เชิญเถอะค่ะ แต่เรือนแก้วยังเห็นทางเอาชนะได้อยู่ เรือนแก้วไม่หยุดแค่นี้แน่”
พูดจบเรือนแก้วก็เดินกลับไป วินพัตราถอนใจ มองไปเห็นวศินกับหนูดีอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็ยิ้มเศร้า พยายามตัดใจแล้วหันเดินไปอีกทาง...เดินไปเห็นอินทัชกำลังคุมคนงานตัดแต่งต้นชาก็รีบหลบตื่นเต้นทำตัวไม่ถูก ใจหนึ่งอยากพบเจอพูดคุย อีกใจก็กลัว ได้แต่แอบมอง แต่เมื่อคิดถึงคำสารภาพรักของอินทัชกับตนก็ตัดสินใจจะไปคุยกับเขา