ตอนที่ 1
“แหม...นานๆทีจะเป็นไรไปคะคุณ...อีกอย่างไปกับตาอ้นก็ไม่มีอะไรเสียหาย ครอบครัวนั้นน่ะ ทั้งตระกูลดี ทั้งมีเงิน คบไปก็ไม่เสียหายหรอกค่ะ”
วัฒน์ยิ้มเมื่อแม่แก้ต่างปกป้องตน บอกว่า
“นี่ป้าสุกับพี่อ้นฝากเชิญคุณพ่อคุณแม่ไปงานเลี้ยงต้อนรับพี่อ้นที่โรงแรมของเขาด้วยนะครับ”
ภัสสรอุทานตื่นเต้นบ่นว่าแล้วตนจะตัดชุดทันเหรอเนี่ย วรกิจขัดขึ้นอย่างเบื่อหน่ายว่าใครอยากไปก็ไปตนไม่ว่าง ถูกภัสสรค้อนบ่นหงุดหงิดว่าตามใจ คนอะไรขวางโลก ไม่รู้อะไรกับบ้านนั้นนักหนาไม่ชอบเขาอยู่ได้ วรกิจเลยตัดบทชวนกินข้าวกันเถอะตนหิวแล้ว
พอจะลงมือกินข้าวภัสสรไม่เห็นหนูดี วรกิจบอกว่าหนูดีไปเรียนแล้ว ภัสสรติงว่าไม่ได้ยิน
เสียงรถเลย ถามว่าหนูดีไปยังไง?
ขณะที่ภัสสรงงๆอยู่นั้น เป็นเวลาที่หนูดีอยู่บนรถเมล์แล้ว หนูดีได้ที่นั่งริมหน้าต่างมองไป
ข้างนอกอย่างตื่นเต้น นึกในใจ “อยากนั่งรถเมล์แบบนี้ตั้งนานแล้ว สนุกจัง”
พอภัสสรรู้ว่าหนูดีขึ้นรถเมล์ไปเรียนก็ติติง
วรกิจว่าปล่อยให้หนูดีขึ้นรถเมล์ไปเรียนได้ยังไง
วรกิจตอบสบายๆว่ามันแปลกตรงไหน ใครๆเขาก็ขึ้นกัน ภัสสรเสียงขุ่นว่า
“แต่ยัยหนูดีเป็นลูกผู้ดีมีเงิน จะไปขึ้นรถเมล์แบบนั้นไม่ได้!!” วรกิจคร้านที่จะต่อล้อต่อเถียง
ลุกจากโต๊ะอาหารไป ภัสสรตามจิก “นี่คุณอย่ามาเดินหนีฉันแบบนี้นะ พูดกันให้รู้เรื่อง”
วรกิจหันกลับมาอย่างรู้ว่าถ้าไม่หยุดเรื่องยาวและไม่จบ เขาหันมองหน้าภัสสรแล้วหันกลับไปยืนฟัง
ภัสสรย้ำปรามว่าต่อไปอย่าอนุญาตให้หนูดีทำอะไรแบบนี้อีก
“ไม่ได้!!” วรกิจสวนทันที ถูกถามเสียงเข้มว่าทำไม? “ผมไม่เห็นด้วยที่คุณเลี้ยงลูกไม่ให้รู้จักความยากลำบาก แล้วต่อไปในอนาคตถ้าลูกต้องเจอปัญหา พบกับความลำบาก ลูกจะทำยังไง ลูกจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปยังไงถ้าไม่มีภูมิคุ้มกันความลำบากซะบ้างแบบนี้”
“คุณพูดเรื่องอะไร แล้วทำไมลูกของเราต้องลำบากด้วยในเมื่อเรามีเงินเยอะแยะ ลูกใช้ชาตินี้ชาติเดียวก็ไม่หมดหรอก”
“เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตหรอกนะคุณ ไม่ว่าจะรวยหรือจน คนทุกคนก็มีสิทธิ์พบกับความลำบากในชีวิตได้ทั้งนั้น ไม่มีใครสบายตลอดไป ชีวิตจริงต้องมีความลำบากความทุกข์ยากเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”
“แต่ฉันรักลูก ฉันกลัวลูกเป็นอันตรายนี่” ภัสสรเสียงอ่อนลง
“แค่นี้ยัยหนูดีมันเอาตัวรอดได้ ลูกเราโตแล้วนะคุณ” วรกิจเข้าไปจับมือภัสสรอย่างเข้าใจความรู้สึก ปลอบว่า “ไม่ต้องห่วงไปหรอกนะคุณ”
ฝ่ายหนูดีกำลังตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่ เห็นคนแก่ขึ้นมาไม่มีที่นั่งก็ลุกให้นั่ง ยืนโหนรถเมล์ตัวโยนไปโยนมา เมื่อรถจอดป้ายมีคนขึ้น กระเป๋าก็ไปยืนตะโกนที่ประตูหน้าทีประตูหลังทีให้เดินหน้าถอยหลังเพื่อให้คนใหม่ขึ้นได้
ที่ป้ายนี้เอง วศินหิ้วถุงขนมเบียดขึ้นที่ประตูหลัง ครู่เดียวหนูดีก็ทำจมูกเหมือนได้กลิ่นคุ้นๆ นึกในใจ...
“หือ...กลิ่นสาคูไส้หมูเมื่อเช้าตามมาหลอกหลอนแน่ๆ เพราะคุณแม่แท้ๆ อดกินเลย...”
คนขับรถเมล์ขับรถฉวัดเฉวียนแซงซ้ายแซงขวา ผู้โดยสารโอนเอนไปมาตามแรงเหวี่ยง แล้วรถก็
เบรกเอี๊ยดกะทันหัน คนอื่นที่มีประสบการณ์ต่างจับราวไว้แน่น เว้นแต่หนูดีที่ขึ้นรถเมล์เป็นวันแรกถูกเหวี่ยงหน้าทิ่มแล้วหงายไปกระแทกหน้าอกของใครบางคนปัง!! ทำให้สาคูไส้หมูในถุงของวศินกระเด็นไปตกในกระเป๋าหนูดีไม่รู้ตัว พอเธอหันมองพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมอกของวศิน ได้ยินเสียงถามอย่างห่วงใยอ่อนโยน
“เป็นอะไรไหมครับคุณ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” หนูดีตอบเสียงประหม่าเพราะในความรู้สึกยังฟุ้งซ่านกับการรับรู้ในทันทีว่าวศินเป็นใคร แต่รีบผละออกมาหันหน้าหนี พยายามทำหน้านิ่งแต่ใจเต้นตึ้กตั้กเพราะไม่คาดคิดว่าจะเจอเจ้าของสาคูไส้หมูแสนอร่อยที่พ่อซื้อมาให้กินประจำ
ได้กลิ่นสาคูไส้หมูเจ้าโปรด ท้องว่างเจ้ากรรมก็ร้องโครกครากขึ้นมา คนรอบข้างต่างมองมาที่ต้นเสียง หนูดีอายมาก แต่แข็งใจทำไม่รู้ไม่ชี้ วศินดูแล้วแอบขำ
จนมาถึงป้ายใกล้มหาวิทยาลัย หนูดีชะเง้อมองแล้วตะโกนอย่างตื่นเต้น
“จอดด้วยค่า...จอดด้วย!!”
ทุกคนในรถมองหนูดีเป็นตาเดียว วศินบอกว่าจะลงให้กดกริ่ง เธออายแต่ยังรักษาฟอร์มบอก รู้แล้วน่า แล้วลงทางประตูหลังที่ใกล้กว่า วศินเดินตาม
ลงจากรถแล้ว วศินเดินตามหนูดี เหลือบเห็นสาคูไส้หมูห่อหนึ่งในกระเป๋าของหนูดีหน้าตาเหมือนกับของตน มองในถุงขนมของตนเห็นหายไปห่อหนึ่ง เลยวิ่งตามไปบอกหนูดีขอสาคูไส้หมูในกระเป๋าเธอคืน หนูดีโวยวาย แต่พอเห็นสาคูไส้หมูในกระเป๋าตัวเองจริงๆก็ร้อง “เฮ้ย! มันมาอยู่ในนี้ได้ยังไง”
วศินแกล้งอำว่าอยากกินขอกันดีๆก็ได้ ทำไมต้องขโมยกินด้วย หนูดีบอกว่าตนไม่ได้ขโมย วศินเลยยื่นหน้าเข้าไปดมใกล้ปาก หนูดีตกใจผงะถอยถามว่า ทำอะไร?
วศินสูดกลิ่นบอกว่ากลิ่นสาคูไส้หมูยังอยู่ในปากเลย อำว่าแอบกินแล้วใช่ไหม จ่ายเงินมาซะดีๆ หนูดีแก้ตัวยังไงก็ไม่เชื่อ ซ้ำขู่ว่าถ้าไม่ยอมจ่ายจะตามไปหาถึงคณะเลย หนูดีจำต้องจ่ายตัดปัญหา วศินรับเงินแล้วทอนบอกว่าวันหลังอยากกินบอกดีๆจะเอามาเผื่อ แต่ต้องเก็บตังค์ไม่ให้กินฟรี
Powered by Froala Editor