ตอนที่ 13
เจ้าจอมเพ็ญหนีกระเจิงมาถึงอ่างแก้วก็ตกใจ ได้ยินเสียงพวกอังวะโห่ร้องตามมาจึงลงในอ่างแก้วเพื่อซ่อนตัวพลันก็ตกใจสุดขีดเมื่อเห็นศพของสาลิกาลอยอยู่ตรงหน้าแต่ไม่กล้าร้อง กลัวอังวะได้ยิน ต้องทนกลัวอยู่กับวิญญาณของสาลิกาที่เห็น
แมงเม่าพาพวกกรมขุนวิมลวิ่งมาถึงทางระบายน้ำบอกให้ทุกคนลงไปในนั้นเพื่อหนีออกไป ส่วนตนกับเป้าก็สู้กับทหารอังวะ เป้าถูกทำร้ายหัวกระแทกต้นไม้จนสลบ ทุกคนตกใจสุดขีดเห็นเป้าแน่นิ่งไปก็นึกว่าตายแล้ว แต่ในที่สุดพวกกรมขุนวิมลก็ถูกทหารอังวะจับไป แมงเม่าดิ้นรนจะไปช่วยพวกกรมขุนวิมลก็ถูกพวกอังวะกรูกันเข้าทำร้าย และพวกกรมขุนวิมลก็ถูกอังวะลากตัวไปจนได้
พอดีขันทองวิ่งมาถึงตรงเข้าฟันทหารอังวะช่วยแมงเม่าแต่พระยากำแหงก็โผล่มาฟันขันทองจากด้านหลังตะโกนด่า “อ้ายไส้ศึก มึงอย่าอยู่เลย” แต่ขันทองหลบทัน ทั้งพระยากำแหงและขันทองจึงอยู่ในภาวะร่วมกันสู้กับพวกอังวะและหันมาสู้กันเอง
ขันทองเหลือบเห็นทหารอังวะกำลังจะยิงมา จึงกดพระยากำแหงลงแต่พระยากำแหงก็ยังถูกกระสุนที่แขนขวาเลือดอาบ แมงเม่ากำลังจะถูกอังวะฟัน ขันทองพุ่งดาบปักหลังอังวะตายแล้วบอกพระยากำแหงให้ทำเหมือนตายแล้วจะปลอดภัย ตนช่วยได้แค่นี้ แล้วรีบวิ่งไปช่วยแมงเม่าพาหนีไปตามทางระบายน้ำ
ฝ่ายพระยากำแหงไม่เชื่อขันทองลุกขึ้นลุยเข้าใส่พวกอังวะเลยถูกฟันเข้าที่ตาเลือดทะลัก กระนั้นพระยากำแหงก็ยังลุยสู้ตายไม่ยอมแพ้
กรุงศรีอยุธยาเวลานั้นเต็มไปด้วยการปล้นฆ่าทั้งจากพวกอังวะและคนไทยที่สวมรอยปล้นกันเอง เป็นดังคำบรรยายว่า...
“กรุงศรีอยุธยาถูกทำลายลงอย่างย่อยยับด้วยฝีมือของกองทัพอังวะและคนไทยด้วยกันที่สวมรอยเข้าปล้นฆ่า และในคืนเดียวกันนั้นเอง เวลาประมาณยามสอง ก็ได้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ไปทั่วกรุงศรีอยุธยา โดยต้องใช้เวลาถึงสิบห้าวันกว่าเพลิงจะดับสนิท นับเป็นการสิ้นสุดของอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่เพียงเท่านี้”
ขันทองพาแมงเม่าหนีอยู่ในป่าต้องแอบซุ่มตีพวกอังวะเพื่อแย่งเสบียงและน้ำมาให้แมงเม่าที่ร้องไห้เสียใจไม่หยุด บอกแมงเม่าว่า
“อยากร้องก็ร้องเถิด แต่เมื่อเจ้าร้องไห้จนพอใจแล้วก็กินของที่ฉันหามาให้เสีย จะได้มีกำลังเดินทางต่อ”
ooooooo