ตอนที่ 5
เจ้าจ้อยรู้สึกตัวเมื่อพสุสัมผัสแก้มเบาๆ เธอ ถามว่าเช้าแล้วทำไมไม่ปลุก เราจะได้รีบตื่นเดินทางกันต่อ
“ผมไม่อยากปลุก อยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ กลัวว่าคุณตื่นแล้วจะหายจากผมไป”
“มัวแต่เพ้อเจ้อน่า เร็วรีบลุก”
เจ้าจ้อยลุกขึ้นนั่งพลางฉุดแขนพสุที่ตัวเองใช้หนุนนอนมาทั้งคืนขึ้น แต่พสุร้องโอ๊ยออกมาจนเธอตกใจ
“แขนคุณเป็นอะไร”
“ก็เป็นหมอนให้เจ้าจ้อยหนุนนอนทั้งคืนน่ะสิครับ ตอนนี้ตะคริวกินไปทั้งแขนแล้ว”
“แล้วคุณก็ปล่อยให้เฮานอนอยู่ได้ ทำไมไม่บอกให้เฮาลุกขึ้น มา...เฮานวดให้”
เจ้าจ้อยกุลีกุจอบีบนวดให้ แล้วถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ตะคริวหายหรือยัง
“ยังครับ สงสัยนอนผิดท่า ต้องนอนท่านี้” พสุสำออยลงนอนหนุนตักเจ้าจ้อยหน้าตาเฉย
“เจ้าเล่ห์นัก” เจ้าจ้อยบีบจมูกพสุเบาๆ
แล้วทั้งคู่ก็หยอกล้อกันประสาคนรัก โดยไม่รู้ว่ามุมหนึ่งนั้นยุพราชกำลังยืนตะลึงมองมา...ภาพสองคนคลอเคลียบ่งบอกชัดเจนจนไม่ต้องมีคำถาม ยุพราชกัดกรามแน่น ชักปืนที่เอวเล็งไปที่พสุ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจไม่ยิง ลดปืนลงด้วยมืออันสั่นเทา... เจ็บปวดหัวใจอย่างที่สุด แล้วหันหลังวิ่งกลับเข้าป่าไปอย่างทำใจไม่ได้
ยุพราชเตะต่อยต้นไม้ระบายอารมณ์อย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะหยุดและทรุดตัวลง สองมือกำหมัดแน่น ขบกรามเงยหน้าขึ้นฟ้านึกย้อนในวันที่มอบมีดคูกรีให้พสุ และขอสัญญาว่าเขาห้ามรักเจ้าจ้อยอย่างเด็ดขาด
แต่วันนี้พสุทรยศความเป็นเพื่อนและไม่ทำตามสัญญา สร้างความเจ็บปวด เจ็บแค้น และอาจลามไปถึงต้องกลายเป็นศัตรูกัน!
เจ้าจ้อยกับพสุยังไม่รู้ตัวว่าบริเวณนี้ไม่ได้มีกันแค่สองคน...เจ้าจ้อยล้างหน้าล้างตา ในขณะที่พสุเก็บข้าวของใส่เป้อยู่ข้างหลัง และกลบทำลายร่องรอยกองไฟ จู่ๆเจ้าจ้อยนึกได้พูดขึ้นว่า
“เราลืมอะไรไปอย่างนึง”
“ส่างคำใช่ไหมครับ”
“ใช่ ส่างคำบอกจะไปหาเสบียงและกลับมาหาเราในตอนเช้า ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก”
“อาจจะกำลังมา แต่ผมจะไม่รอนานนะครับ ผมจำเป็นต้องรีบพาเจ้าจ้อยไปให้ถึงชายแดนก่อนเย็น ข้ามชายแดนเข้าไทยให้ได้ภายในวันนี้ ไม่อย่างนั้นเราอาจจะไม่มีโอกาสข้ามชายแดนได้อีกเลย พวกทหารซาอูจะต้องขนกำลังมาปิดตายชายแดนไว้หมดทุกทาง”
เจ้าจ้อยใจคอไม่ดี รู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจลุกขึ้นเดินไปชะเง้อพร้อมพึมพำ “รีบมานะส่างคำ เฮารออยู่”
ยุพราชแอบซุ่มดูคนทั้งคู่ด้วยสายตาคมกริบเก็บความแค้นพสุไว้ในอก แต่ไม่ยอมปรากฏตัวออกมา
ooooooo