ตอนที่ 11
เกศสุรางค์นั่งจดบันทึกอยู่ในห้องว่าทุกอย่างเป็นไปตามประวัติศาสตร์ ออกพระวิสุทธสุนทรเป็นราชทูต ออกหลวงกัลยาณไมตรีเป็นอุปทูต
ขุนศรีวิสารวาจาเป็นตรีทูต...เธออดซาบซึ้งปลื้มใจไปกับความก้าวหน้าของท่านขุนไม่ได้
จากนั้น ทั้งสามที่จะรับหน้าที่ทูตต้องมาเรียนภาษาฝรั่งเศสกับมิชชันนารีปิแอร์ลองกรัวส์ที่โบสถ์เซนต์เปาโล โดยมีเกศสุรางค์เป็นล่าม...ด้วยการเดินทางไปฝรั่งเศสใช้เวลาแรมเดือน จำปาจึงคุมบ่าวไพร่เตรียมเสบียงอาหารแห้งพร้อมสรรพ เกศสุรางค์อยากทำของให้ขุนศรีวิสารวาจานำไปใช้ จึงคิด
เย็บหมอนยัดนุ่นปริกเห็นแล้วอดเหน็บแนมไม่ได้
“ไม่เคยเห็นหมอนอาไร้ใหญ่โต จะเอาหัวที่ไหนหนุน ไม่เคยพบไม่เคยเห็น”
บ่ายวันนั้นขุนศรีวิสารวาจากลับมา แปลกใจที่ไม่เห็นการะเกดเตรียมน้ำกับของว่างรอเหมือนเคย รู้สึกขัดเคืองที่เธอไม่สนใจ พอรู้จากบ่าวว่านางเย็บหมอนอยู่ก็ตามไปที่ชานเรือน ทำทีบ่นว่าคอแห้ง เกศสุรางค์ได้ยินกลับบอกว่าหิวน้ำก็ไปกินน้ำ มาตรงนี้จะกินนุ่นหรือ แล้วกำชับจิกกับจวงให้ยัดนุ่นดีๆโดยเรียกทั้งสองว่าพี่ สร้างความตื้นตันให้ทั้งสอง...ท่านขุนงอนเดินไป
ขณะที่ท่านขุนนั่งเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน จ้อยยกถาดน้ำชาและของว่างเข้ามา ท่านขุนไล่ เกศสุรางค์เดินยิ้มหวานตามเข้ามาบอกให้ดื่มน้ำชาแก้คอแห้ง จ้อยฉากออกไป แต่ท่านขุนยังงอนไม่เลิก จวบจนมื้อเย็น เกศสุรางค์เห็นสีหน้าท่านขุนยังมึนตึงก็เผลอหัวเราะเสียงดังออกมา
“นึกจะหัวเราะหัวใคร่ไม่มีปี่มีขลุ่ย จะมีเหย้ามีเรือนอยู่แล้ว กิริยาหามีไม่” จำปาเอ็ดเบาๆ
เกศสุรางค์ยกมือไหว้ขอโทษต่ำลงๆจนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ออกญาโหราธิบดียิ้มอย่างเอ็นดู ปริก
อยากหัวเราะแต่วางฟอร์ม ท่านขุนเผลอยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ค่ำนั้น ผินและแย้มมากระซิบจ้อยให้ไปบอกขุนศรีวิสารวาจาว่า แม่นายพวกตนชมจันทร์อยู่ที่ชานเรือน ท่านขุนนั่งทำงานไม่สนใจ...ที่ชานเรือน ออกญาโหราธิบดี นอนเอกเขนกสบายใจ จำปานั่งเจียนหมากอยู่ตรงที่ประจำ เกศสุรางค์มองจันทร์แล้วเปรยว่า พระจันทร์ที่นี่ดวงโต บ่าวไพร่ได้ยินกระซิบกระซาบอย่างแปลกใจ
เกศสุรางค์เอ่ยถามออกญาว่าอยากฟังเพลงไหม
“เพลงรึ เพลงอะไร พวกเพลงตับไม่เอานะ
แม่การะเกด เพราะลุงง่วงนอนเกรงจะฟังไม่จบ”
“พอเกดร้อง คุณลุงจะตื่นทันทีค่ะ” เกศสุรางค์ลืมตัวร้องเพลงสมัยของตัว...จันทร์กระจ่างฟ้า นภาประดับด้วยดาว...
จำปาหยุดสิ่งที่ทำเหลียวมอง บ่าวไพร่ก็จ้องมอง ขุนศรีวิสารวาจาเดินมาหยุดฟัง มองใบหน้าหญิงสาวที่ดูสวยซึ้งภายใต้แสงจันทร์...พอร้องจบเกศสุรางค์ถามออกญาว่าหลับหรือตื่น ท่านชมว่าเพลงไพเราะไม่เคยได้ยินมาก่อน จำปาว่าเพลงอะไรประหลาดนัก ไม่เหมือนเพลงอยุธยา แล้วถามว่าเป็นเพลงของสองแควหรือ
เกศสุรางค์ตอบกำกวมว่า
“เจ้าค่ะ เพลงของเมืองข้า”
ผินกับแย้มสบตากันงงๆเพราะไม่เคยได้ยิน
จำปาว่าเคยฟังเพลงของสองแควแต่ไม่เคยได้ยินแบบนี้ ขุนศรีวิสารวาจาเดินออกมาแบบเคลิ้มๆ เกศสุรางค์ตอบจำปาและถามท่านขุน
“ข้าร้องแบบสมัยใหม่เจ้าค่ะ เพราะไหมคะคุณพี่ขุน”
จ้อยรีบบอกว่าท่านขุนไม่ได้ฟังทำงานอยู่ เสียงท่านขุนเอ็ดชี้นิ้วไล่ให้จ้อยออกไป ก่อนจะหันมาพูดกับหญิงสาวว่า เป็นเพลงชมจันทร์ที่ไพเราะที่สุดเท่าที่เคยได้ยิน เกศสุรางค์แกล้งถามว่าฟังด้วยหรือ ท่านขุนรับว่าฟังทุกคำ ออกญาเหล่มองลูกชายขำๆ
“อีกหน่อยคุณพี่ต้องร้องให้ข้าฟังมั่ง”
“จริงอย่างยิ่ง ข้าควรเป็นคนร้อง” ออกญาเผลอถามพร้อมเกศสุรางค์ว่าทำไม ท่านขุนตอบจริงจังว่า “เพราะเป็นเพลงชมโฉมแม่หญิงขอรับคุณพ่อ”