ตอนที่ 11
ภุมวารีมาดักรอภาสกรเลิกงานแล้วพาไปกินอาหารกันตามลำพัง หลังจากไม่ได้มีช่วงเวลาส่วนตัวแบบนี้นานมากตั้งแต่ย้ายจากนครปฐมมาอยู่พระนคร เธอจึงคิดจะกำจัดพ่อกับน้องชายของเขาออกไปจากชีวิต
“ผึ้งตัดสินใจแล้วค่ะว่าเราควรจะส่งคุณโรจน์ไปอยู่โรงพยาบาล ผึ้งจะหาเงินมาดูแลค่าใช้จ่ายตรงนี้เอง เราสองคนจะได้เป็นอิสระ คุณโรจน์อยู่ใกล้หมอก็ไม่มีอะไรต้องห่วง ส่วนคุณพ่อคุณเราก็ให้เงินท่านไปสักก้อน แล้วก็รีบหาที่อยู่ใหม่ ท่านจะได้ไม่ต้องตามมารังควานอีก”
“แล้วคุณขวัญเรือนล่ะครับ เธอจะต้องตกงาน”
“คนเจ็บไข้ได้ป่วยมีออกจะทั่วไป เราไม่จ้าง เดี๋ยวก็มีคนอื่นมาจ้างเองนั่นแหละค่ะ คุณภาสจะห่วงทำไม แม่คนนั้นใช่ครอบครัวเราที่ไหน”
ภาสกรไม่กล้าแย้ง ได้แต่เก็บความกังวลไว้ในใจเพราะไม่เห็นด้วยกับความคิดของภรรยา ในเวลาเดียวกันที่วังเทวฉัตร นวลเล่าให้เอื้อยฟังว่าเธอพบหม่อมหลวงภาสกรตอนพลัดหลงกับชายใหญ่และภัทรยศที่งานวัด ขิมแอบฟังได้ยินชื่อภาสกรก็แจ้นไปจีบปากฟ้องหญิงเล็ก
หญิงเล็กยิ่งมั่นใจว่าพี่สะใภ้เสแสร้งเล่นละครว่าไม่รู้ไม่เห็นเพราะช่วยปิดบังชู้รัก ทั้งที่เธอกับดาริกาคาดคั้นกันแทบตาย
“คุณหญิงต้องหาทางกระชากหน้ากากมันนะคะ ก่อนที่มันจะสวมเขาให้คุณชายใหญ่จนงอกโผล่มาให้ใครต่อใครเห็น”
“จะทำยังไงล่ะ ใครๆก็เห็นมันเป็นนางฟ้านางสวรรค์ ส่วนฉันก็เป็นนางมารแม้แต่ในสายตาพี่ชายของตัวเอง”
“ก็คอยจับตาดูงานเลี้ยงที่วังอภัยรัตน์ให้ดีๆสิคะ ขิมว่ามันสองคนคงต้องนัดพบกันอีกแน่ๆ โอกาสดีๆแบบนี้หาได้ง่ายที่ไหน”
หญิงเล็กคิดตามแล้วยิ้มมีความหวัง ส่วนทางเอื้อยที่พอฟังเจ้านายเล่าเรื่องจบ ก็ถอนใจเฮือกก่อนบ่นไม่รู้เวรกรรมอะไร ผู้ชายคนนี้กับคุณผึ้งถึงตัดเป็นตัดตายกันไม่ได้เสียที
“ที่มันแปลกก็คือคุณชายกับคุณภัทรยศยืนยันว่าฉันกลับมาที่บ้านพร้อมเขาทั้งสองคน แต่แล้วฉันก็ทำตัวแปลกๆ วิ่งหนีไปเป็นลมอยู่ที่หน้าบ้าน มันประหลาดอย่างนี้แหละพี่เอื้อย ฉันก็เลยไม่รู้จะเล่าให้คุณชายฟังยังไง กลัวคุณชายจะคิดว่าฉันสมองเสื่อม”
“หรือคุณผึ้งยังไม่หายดีคะ ความคิดก็เลยผสมปนเปไปหมดทั้งความฝันความจริง”
“ฝัน...ฝันอีกแล้วเหรอ...ไม่ล่ะ ฉันจะต้องค้นหาความจริงให้ได้ อีกไม่กี่วันฉันจะต้องไปงานเลี้ยงกับคุณชายที่วังอภัยรัตน์ ถ้าฉันเจอผู้ชายคนนั้น ฉันจะต้องถามเขาให้รู้เรื่อง...ต่อหน้าคุณชายใหญ่”
เอื้อยไม่เห็นด้วย แต่ไม่กล้าค้าน
ooooooo
วันถัดมาชายใหญ่พาภรรยาไปตัดชุดใหม่และกำชับช่างต้องเสร็จให้ทันวันงานเลี้ยง พอกลับมาถึงบ้านเขาสอนเธอเต้นรำอย่างตั้งอกตั้งใจ
ความใกล้ชิดระหว่างกันทำให้สองคนมีความสุข หญิงเล็กเห็นแล้วริษยาพี่สะใภ้ สั่งขิมไปป่วนแต่ไม่สำเร็จ นวลกับชายใหญ่ยังคงเต้นรำกันอย่างเบิกบาน
ทางด้านภุมวารี เมื่อเงินทองร่อยหรอก็ตัดสินใจกลับบ้านที่นครปฐมอีกครั้งเพื่อเอาเครื่องประดับออกมาขาย เจอสวาทลงรถหน้าบ้านทำท่าระริกระรี้กับคนขับรถรับจ้าง ภุมวารีกล่าวหาทันทีว่าแม่เลี้ยงคิดจะเล่นชู้ สวาทโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทุ่มเถียงกันใหญ่โตจนลามไปเรื่องเพชรทองของมีค่า
ภุมวารีพลั้งปากบอกว่าครั้งก่อนตนมาเอาเครื่องเพชรไป สวาทเลยถึงบางอ้อ หลงโทษสาวใช้จนมันติดคุก แต่ครั้งนี้ตนไม่ยอมให้เอาอะไรไปได้อีก คนอย่างภุมวารีก็ไม่ยอมลงให้แม่เลี้ยงจะใช้ของมีคมกรีดหน้า เฟื้ออยู่ในเหตุการณ์เข้าห้ามก็ไม่ฟัง
ในที่สุดสวาทต้องถอยหนีและยอมให้ภุมวารีเอาเครื่องประดับจำนวนไม่น้อยออกไป เฟื้อเดินมาส่งนายสาวแต่มองไม่เห็นรถก็ถามด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวอึกอักเล็กน้อยก่อนโกหกว่ารถยางแตก ตนให้คนขับรถที่วังเอาไปซ่อมแล้วรอที่ตลาด เฟื้อพยักหน้าหงึกหงักไม่ซักต่อ
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดีค่ะ บ่นคิดถึงคุณผึ้งบ่อยๆ ท่านคงจะเหงาเพราะเดี๋ยวนี้คุณสวาทเธอก็ออกไปสังคมของเธอ บางวันกลับมืดๆค่ำๆ”
“มันมีชู้น่ะสิ”
“เอาอะไรมาพูดคะคุณผึ้ง”
“ฉันเห็นกับตาว่ามันอี๋อ๋อกับผู้ชายอยู่หน้าบ้านตอนที่ฉันมาถึง คอยจับตาดูมันให้ดีๆ ถ้าเห็นอะไรผิดปกติก็รีบบอกคุณพ่อ ก่อนที่มันจะเป็นเนื้อร้ายกัดกินคุณพ่อจนตายทั้งเป็น”
เฟื้อพยักหน้ารับทั้งที่ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง...
ตกเย็นเกรียงไกรกลับเข้าบ้าน สวาทฟ้องว่าภุมวารีมาขนสมบัติและตบเธอจนหน้าบวมโดยมีเฟื้อรู้เห็น คนเป็นพ่อคาดไม่ถึงแต่ไม่ติดใจสงสัย อนุญาตให้สวาทซื้อสร้อยเส้นใหม่เป็นการปลอบใจ
ooooooo