ตอนที่ 14
เป็นคำถามที่ทำให้พุกยิ้มเศร้า ก่อนเล่าถึงอดีตว่า...
ในราว พ.ศ.2470 ตอนนั้นตนอายุ 65 ปี ตนนุ่งขาวห่มขาวสวดมนต์อยู่ในห้องพระใบหน้าสงบนิ่งก็คิดถึงกล้าว่า...
“ไม่ใช่แต่ไอ้กล้าที่มุ่งทางธรรม ฉันเองก็หมั่นคอยรักษาศีล ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ จนเมื่อชีวิตกำลังใกล้จะสิ้นลมสุดท้าย...”
คืนหนึ่ง พุกก้มกราบพระแล้วบอกแดงซึ่งขณะนั้นอายุ 45 ปีให้ไปเอากระดาษกับปากกาคอแร้งมา เมื่อแดงเอากระดาษกับปากกาคอแร้งมาแล้ว พุกก็ลงมือเขียนชื่อเพลง “ชั่วนิจนิรันดร์”
พุกมองออกไปนอกหน้าต่างนึกถึงดวง หญิงอันเป็นที่รักในอดีต แล้วเริ่มเขียนเนื้อเพลงไล่โน้ตเพลงไปช้าๆ จากบรรทัดแรกไปจนจบเพลง โดยมีแดงคอยเติมหมึกและเทน้ำชาให้อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
พุกเขียนเพลงบรรทัดสุดท้ายว่า “ทุกภพชาติต่อไปชั่วนิจนิรันดร์” แล้วลงลายเซ็นไปในโน้ตเพลง หยิบโน้ตเพลงขึ้นมอง พูดอย่างภูมิใจ
“นี่จะเป็นเพลงสุดท้ายในชีวิตของกู”
แดงฟังแล้วน้ำตาคลอนึกรู้ว่าเขียนเพลงจบพุกต้องจากโลกนี้ไปแน่ พูดปลอบใจพุกและตัวเองว่า
“อย่าพูดเป็นลางสิขอรับ อาพุกจะต้องอยู่กับฉันอีกนาน”
“ทุกคนต้องตาย...แต่มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก ถึงกูตาย...วิญญาณกูก็คงจะวนเวียนอยู่แถวนี้” พูดแล้วพุกหันมองรูปเทิดที่ตั้งอยู่ในห้องพระน้ำตาไหล “กูจะอยู่จนกว่าจะถึงวันที่พี่เทิดได้รับการปลดปล่อยจากอาถรรพณ์เพลงท่วมธรณี”
พุกมองหีบโบราณที่วางอยู่ใต้โต๊ะหมู่บูชา แดงเอื้อมไปยกหีบมาวางตรงหน้าพุก พุกวางโน้ตเพลงชั่วนิจนิรันดร์บนหีบ เอ่ยเหมือนสั่งเสีย
“เพลงนี้แต่งขึ้นมาเพื่อแก้เพลงท่วมธรณีไว้ผ่อนหนักให้เป็นเบา อย่างน้อยก็เยียวยาให้วิญญาณพี่เทิดสงบลงได้” พุกดันหีบโบราณไปให้แดง “ต่อจากนี้ เอ็งต้องรับหน้าที่ดูแลมันต่อแล้ว...อย่าได้ให้มันทำร้ายใครอีก”
“จ้ะ...ฉันสัญญา ฉันจะรักษามันด้วยชีวิต ส่งต่อหน้าที่นี้ต่อไปสืบชั่วลูกหลาน จะปกป้องตระกูลวิจิตรวาทินไปชั่วกาลนาน”
พุกลูบหัวแดงอย่างอ่อนแรง เอ่ยเสียงแผ่วโผย ก่อนสิ้นลม...
“ลาก่อนนะไอ้แดง”
“อาพุก...อาพุก...” แดงกอดพุกร้องไห้โฮ
เมียพุกกับปู่ของยชญ์ได้ยินเสียงแดงก็วิ่งเข้ามาถลากอดร่างพุกที่ฟุบสิ้นลมที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาในห้องพระ ร้องเรียก “พี่พุก.../พ่อ...” ต่างร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด...
ooooooo
เทิดตบบ่าพุกเบาๆ พูดอย่างซึ้งใจว่า
“เพลงมึงเยียวยาได้จริงๆ ยามที่กูต้องทนทุกข์ทรมานเพราะแรงอาฆาตแค้น ก็ได้เพลงมึงนี่ล่ะ ที่ช่วยปลอบประโลม”
“มันเป็นเพราะความรักต่างหาก ลึกๆแล้วพี่ยังรักแม่ดวงอยู่ เพลงฉันถึงสมานแผลใจให้พี่ได้”
“มึงช่างรู้ใจนัก สมแล้วที่เป็นน้องรักกู”
“เราใกล้ถึงแล้วพี่” พุกบอก เทิดมองไปเห็นอุโมงค์ที่คุมขังดวงไกลสุดสายตา ทั้งสองมีความหวังขึ้นมาหลังจากเดินอยู่ในความมืดเป็นเวลายาวนาน
พอเดินมาถึงบริเวณหน้าที่คุมขัง ฝูงอีกาที่อยู่บริเวณนั้นก็พากันแตกฮือบินหนีไป ทำให้เทิดยิ่งมั่นใจ
“ที่นี่แน่”
แต่ถูกวิญญาณทั้งสามที่เฝ้าอยู่ปรากฏร่างขึ้น มองทั้งสองอย่างมุ่งร้าย วิญญาณตวาดให้กลับไปเสียที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า เทิดสีหน้าดุดันถามเสียงกร้าว
“พวกเจ้าจำข้าไม่ได้รึ”
วิญญาณทั้งสามมองหน้ากันอย่างแปลกใจแล้วหันมองหน้าเทิดอีกครั้ง เทิดตะคอกย้ำว่า
“ข้าเป็นคนปลุกพวกเจ้าขึ้นมา เจ้าจะกล้าขวางทางข้าเชียวรึ”
วิญญาณทั้งสามมองหน้ากันแล้วถอยห่างออกไป พุกหัวเราะดีใจถามเทิดอย่างแปลกใจว่า
“ทำไมมันถึงได้ง่ายดายอย่างนี้ เยี่ยมไปเลย ฉันคิดว่าต้องออกแรงอีกเสียแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงดวงร้องไห้ดังออกมา เทิดกับพุกมองหน้ากันอย่างตื่นเต้นแล้วรีบวิ่งเข้าไปในอุโมงค์ที่คุมขังดวงอย่างเร็ว