ตอนที่ 14
ยชญ์กับเมมองหน้ากันเครียดทันที เพียงไม่นานทั้งสามก็นั่งรถแท็กซี่ไปที่ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์ ยชญ์บอกให้เมกับมิ่งรีบไปตามเพื่อนๆมา ตนจะรีบไปพบด็อกเตอร์สำราญก่อน แล้วรีบขึ้นตึกไปเลย มิ่งมองตามอย่างเป็นห่วง ชื่นชมกับเมว่า
“พี่ยชญ์เป็นคนดีมากนะแก ความจริงเขาไม่ต้องทำให้พวกเราขนาดนี้ก็ได้ แกว่าไหม”
“ใช่...ฉันยอมรับว่าเมื่อก่อนฉันอคติกับเขา ดูเขาผิดไปมาก”
“แค่นั้นเหรอแก” มิ่งมองหน้าคาดคั้นแต่ทำเสียงล้อๆ
เมตอบไม่มองหน้าว่าแค่นั้นแหละ มิ่งถามว่าแน่ใจ? เมตัดบทให้รีบไปตามเพื่อนๆกันเถอะ แล้วรีบเดินนำไปเลย มิ่งมองตามยิ้มอย่างรู้ทัน
ooooooo
ยชญ์รีบไปที่ห้องอธิการบดี เลขาลุกมาถามว่านัดไว้หรือเปล่า
“เปล่าครับ แต่ผมมีเรื่องด่วนที่จะต้องพบกับด็อกเตอร์สำราญ” เลขาบอกว่าท่านประชุมอยู่ ยชญ์ถามทันทีว่า “เกี่ยวกับเรื่องที่จะยุบสาขาสังคีตศิลป์ใช่ไหมครับ” เลขาอึ้งไม่กล้าตอบ ยชญ์รีบบอกอย่างรีบร้อนว่า
“ผมมาพบท่านก็เพราะเรื่องนี้ กรุณาเข้าไปเรียนให้หน่อยได้ไหมครับว่า ผมยชญ์ วิจิตรวาทิน ขอพบท่าน”
เลขาลังเลแต่เห็นท่าทีจริงจังมากของยชญ์ ยชญ์จึงได้เข้าพบด็อกเตอร์สำราญโดยมีอาจารย์นั่งอยู่ด้วยสามสี่ท่าน
“เชิญนั่งครับคุณยชญ์” ด็อกเตอร์สำราญบอกยชญ์ที่ยืนอยู่
ยชญ์ค้อมศีรษะให้อาจารย์ทุกคนก่อนนั่งลง ด็อกเตอร์สำราญถอนใจก่อนพูดอย่างหนักใจว่า
“เวลาที่คุณขอผมไว้หมดแล้ว คณะอาจารย์ลงมติว่า เราคงจะต้องยุบสาขาสังคีตศิลป์”
“ผมเกิดอุบัติเหตุเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ครับ” ยชญ์หยิบซองจดหมายสีขาวจากกระเป๋าเสื้อวางไว้ที่โต๊ะ “นี่คือใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลว่าเรื่องทั้งหมดที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง”
“ผมไม่ได้คิดว่าคุณจะโกหก ผมเข้าใจว่าคุณพยายามที่จะไม่ให้มีการยุบสาขานี้ แต่เมื่อไม่มีนักศึกษาเรียน เราก็คงต้องยุบ”
“ผมอยากขอเวลา...แค่ชั่วโมงเดียวครับ ผมจะรวบรวมรายชื่อนักศึกษาทั้งหมดที่ขอย้ายสาขาไปกลับมาให้ได้ครับ”
ด็อกเตอร์สำราญอึ้ง มองหน้าอาจารย์ทั้งหมดที่ต่างมองหน้ากัน บางคนยิ้มเยาะๆ บางคนเห็นใจ
ยชญ์มองหน้าอาจารย์ลุ้นใจระทึกว่าผลจะออกมายังไง
ครู่เดียว ยชญ์ออกจากห้องอธิการบดีวิ่งลงบันไดตึกวิ่งต่อไปที่ตึกคณะศิลปกรรมตรงไปที่ห้องซ้อมดนตรีผลักประตูเข้าไปอย่างเร็ว ยชญ์ชะงักกึก เมื่อเห็นในห้องซ้อมมีแต่เมกับมิ่งนั่งเครียดกันอยู่
“ยังตามเพื่อนๆไม่ได้เหรอ หรือว่าติดเรียนกันอยู่”
“ฉันกับไอ้มิ่งไปเจอทุกคนหมดแล้ว แต่พวกนั้นยืนยันว่าจะย้ายสาขาแน่...มันจบแล้วล่ะ”
ยชญ์อึ้งสนิท แล้วค่อยๆเดินไปที่มุมวางเครื่องดนตรี พึมพำตำหนิตัวเองอย่างเจ็บปวด
“เพราะพี่ไม่ดีเอง ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุก็คงไม่ล่าช้าจนสายเกินไปแบบนี้”
“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ พี่ยชญ์ทำดีที่สุดแล้ว”
“มิ่งพูดถูก นายต่อสู้เพื่อทุกคน แต่ในเมื่อทุกคนจะยอมแพ้เองก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” เมเดินไปหยิบซอสามสายขึ้นมาลูบคลำอย่างอาลัยอาวรณ์ มิ่งพึมพำอย่างเสียใจว่าสาขาเราต้องถูกยุบจริงๆหรือ
“แล้วเธอกับมิ่งล่ะจะย้ายไปเรียนสาขาไหนกัน”
เมบอกว่ายังไม่รู้เลย เอาไว้ค่อยคิด แต่ตอนนี้ตนหิวแล้วเราไปหาข้าวกินกันดีกว่า เมพยายามเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้เศร้า มิ่งเห็นด้วยชวนยชญ์ไปด้วย
“โอเค ถ้าอย่างนั้นมื้อนี้พี่เป็นเจ้ามือเอง”
“ตกลงค่ะ เราสองคนจะไม่เกรงใจพี่ยชญ์เลยนะคะ” มิ่งทำเสียงขำๆ
“โอเค จัดไป”