ตอนที่ 14
หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากอังวะชนะศึก ทหารเข้ามารายงานเนเมียวสีหบดีถึงการจับเชลย อาวุธ ยุทโธปกรณ์ที่ยึดได้ เสบียงอาหารที่มีอยู่โดยเฉพาะทองคำและทรัพย์สมบัติมากมายที่ยังทำบัญชีไม่เสร็จ
“ผ่านมาเดือนเศษยังทำบาญชีไม่เสร็จ ความมั่งคั่งของอโยธยาสุดที่จะพรรณนาจริงๆ ทั้งอาวุธแลเสบียงก็มากกว่าเราหลายเท่า เหลือเชื่อนักที่เมืองอันยิ่งใหญ่นี้จะพ่ายแพ้แก่เราได้”
ส่วนเยื้อนได้กลายเป็นคนโปรดของเนเมียวสีหบดีลับๆ ตามมาออดอ้อนว่าเหงา จนเนเมียวสีหบดีบอกให้ไปหาอะไรทำแก้เหงาก่อน เสร็จงานเมื่อใดจะไปหาทันที เยื้อนจึงเดินไปทางคอกที่ขังเชลย เห็นกรมขุนวิมล เจ้าจอมอำพันและคุณท้าวโสภาก็หัวเราะเยาะว่าตนไม่ได้ตาฝาดไปกระมัง
คุณท้าวโสภาจำเยื้อนได้เล่าประวัติให้กรมขุนวิมลและเจ้าจอมอำพันฟังว่า แต่ก่อนเป็นลูกพระยา แต่พ่อต้องโทษกบฏคราวเจ้าสามกรมจึงตกมาเป็นทาส เจ้าจอมอำพันเห็นการแต่งตัวของเยื้อนเตือนว่านางคนนี้แต่งเนื้อแต่งตัวเกินฐานะนักและยังไม่ถูกควบคุมตัว อาจมีกระไรที่เรายังไม่รู้
แล้วเยื้อนก็แสดงอำนาจบาตรใหญ่เมื่อทหารอังวะเอาข้าวเอาน้ำมาให้พวกเชลย เยื้อนสั่งให้เอากลับไปทั้งหมด ทำให้พวกเชลยไม่พอใจ เยื้อนพูดเยาะเย้ยแดกดันว่ากรมขุนวิมลท่านเป็นผู้มีบุญสูงส่ง แค่พวกแกได้ชื่นชมบารมีท่านก็นับว่าอิ่มบุญแล้ว อดข้าวอดน้ำสักวันสองวันคงไม่ตายดอก
พวกเชลยพลอยอดข้าวอดน้ำกันทั้งหมดทำให้ไม่พอใจกรมขุนวิมล กรมขุนวิมลเสียใจที่ตนทำให้ทุกคนพลอยลำบากไปด้วย
เจ้าจอมเพ็ญหนีเตลิดออกจากวังจนเสียสติ หนีกระเซอะกระเซิงไปถึงโบสถ์ร้างที่พระยากำแหงเป้าและขุนรักษ์เทวาอาศัยอยู่ก็ขโมยกินปลาดิบที่ขุนรักษ์เทวาเพิ่งจับมาได้อย่างหิวโหย เป้าวิ่งมาดูจำได้ว่าผู้หญิงเสียสติคนนี้คือเจ้าจอมเพ็ญนั่นเอง
ขันทองกับแมงเม่าได้ม้าจากทหารอังวะที่ถูกฆ่าตายตัวหนึ่งจึงขี่มาด้วยกัน บ่ายหน้าไปยังค่ายพระยาตาก ขันทองบอกอย่างปลาบปลื้มว่า เวลานี้ต้องเรียกว่าพระเจ้าตากแล้ว
ระหว่างทางเจอชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังสู้กับทหารอังวะ ขันทองจึงโดดจากหลังม้าไปช่วยชาวบ้านจนฆ่าทหารอังวะตาย จึงเห็นว่าขุนแผลงฤทธิ์กำลังต่อสู้ปกป้องพระยาพลเทพจากทหารอังวะอยู่
ทั้งขันทองและพระยาพลเทพต่างตกใจไม่คิดว่าจะพบกัน ขุนแผลงฤทธิ์พยายามเปิดทางให้พระยาพลเทพหนี แต่ถูกม่วงที่ขี่ม้ามาช่วยชาวบ้านนำทหารล้อมไว้
ขุนแผลงฤทธิ์จึงหนีเอาตัวรอดไป
“พี่ม่วง” แมงเม่าเห็นม่วงตะโกนเรียกดีใจสุดชีวิต
ooooooo