ตอนที่ 13
ไม่นานนัก ปาลกับรินมาถึงสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งตอนนี้ถูกเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปฯเอาเชือกมากั้นไว้ไม่ให้ใครเข้าใกล้ นักข่าวสัมภาษณ์ยามอยู่ที่มุมไกลออกมา เขาตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นพายุที่ทำให้ป้ายแตกหัก เพราะมีกระจกแตกหลายบาน รินยืนฟังอยู่ด้วย ถามปาลว่าคิดอย่างไร
“ผมไม่แน่ใจ แต่พอมันเกิดขึ้นในคืนเดือนดับ ผม...” ปาลไม่กล้าเอ่ยชื่อหยดออกมาเพราะยังหวาดๆไม่หาย รินเองก็คิดเหมือนเขาเช่นกัน ผีหยดปรากฏตัวขึ้นอีกมุมหนึ่ง หน้าตากระจ่างใสกว่าทุกครั้ง ทั้งคู่รับรู้ถึงการปรากฏตัวของเธอเพียงแต่มองไม่เห็น มีเสียงผีหยดร้องเรียกทั้งคู่ดังขึ้น
“พ่อปาล แม่ริน”
“คุณได้ยินไหม” รินถึงกับหน้าเสีย
ปาลพยักหน้า รีบลากรินออกไปที่ใต้ต้นไม้ในตำนาน มองซ้ายมองขวาเห็นปลอดคน ร้องเรียกผีหยดอยู่ตรงนี้ใช่ไหม ผีหยดปรากฏตัวนั่งหมอบที่พื้น
“ฉันอยู่ที่นี่”
รินกับปาลมองไม่เห็นได้ยินแต่เสียง ถามว่าป้ายตำนานที่แตกเสียหายเป็นฝีมือเธอใช่ไหม ผีหยดยอมรับว่าใช่ และที่ทำไปแบบนั้นเพราะต้องการให้ทั้งคู่มาที่นี่เพื่อจะไหว้วานบางอย่างเป็นครั้งสุดท้าย
“ถ้าเธอจะขอยืมร่างของฉันฉันให้เธอไม่ได้หรอกนะ” รินรีบดักคอ
“เรื่องที่ฉันอยากขอร้องพ่อปาลกับแม่รินก็คือ...
ช่วยเปลี่ยนตำนานให้ฉันที พ่อปาลเคยบอกฉันว่าความรักที่ทำให้คนที่เรารักต้องทุกข์ ความรักที่เอาแต่ทำร้าย คิดถึงแต่ตัวเองไม่ควรเรียกว่าความรัก บัดนี้ ฉันเข้าใจแล้ว”
ooooooo
ปาลไม่รอช้าทำจดหมายถึงคุณน้อยในฐานะทายาทของคุณพระวนาเทพและทำหนังสือถึงกรมศิลปฯโดยยื่นสมุดบันทึกที่เขาเก็บได้จากห้องใต้ดินรวมทั้งรูปถ่ายในอดีตที่มีภาพทั้งหยาดและหยดประกอบการขอเพื่อทำป้ายตำนานใหม่ หลังจากได้หนังสือยินยอม ปาลกับรินไปหาช่างแกะสลักให้ทำป้ายอันใหม่ที่เขียนว่า
“นางหยด ทาสใจบาปเป็นผู้ที่วางแผนวางยาพิษกำไลและลูก”...
พระวิษณุที่นั่งสมาธิสวดภาวนาไม่หยุดหย่อน เหมือนจะรับรู้ถึงเรื่องนี้ ลืมตาขึ้นมองสีหน้าอิ่มเอิบ...
หลังผีหยดปล่อยวางจากความแค้นทั้งปวง สีหน้าของเธอดูสงบขึ้นมาก ระหว่างนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น มีแสงสีขาวปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงร้องเรียกของหยาด ผีหยดเงยหน้าเห็นน้องก็ดีใจ
“อีหยาด...ข้าคิดถึงเอ็ง”
หยาดเข้ามากอดผีหยด สองพี่น้องกอดกันกลม แสงสีขาวปรากฏขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างของแม่เยื้อน ทั้งคู่มารับผีหยดไปอยู่ด้วยกัน เธอถึงกับตะลึงคาดไม่ถึง จากนั้นร่างของผีหยดค่อยๆเรืองแสงขึ้น จากร่างผีหยดกลายเป็นหยดตอนสาวหน้าตาสะสวยใบหน้าอิ่มเอิบ...