ตอนที่ 1
ครู่ต่อมา ภุมวารีเดินหนีเกรียงไกรเข้ามาในบ้าน สวาทมองจากชั้นบนตรงเชิงบันไดแอบดูสองพ่อลูกอย่างสอดรู้สอดเห็น
“พ่อเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้แกไปยุ่งกับมันอีก”
“มันที่คุณพ่อเรียกเป็นถึงหม่อมหลวงนะคะ หม่อมหลวงภาสกร อภัยรัตน์”
“เฮอะ! มันก็เป็นแค่หม่อมตกกระป๋อง เชื้อสายปลายแถวเหมือนไอ้คุณชายทินกรพ่อของมัน”
“ถ้าคุณพ่อจะเทศนาเรื่องที่พ่อของคุณภาสติดการพนันจนถูกไล่ออกจากวัง ผึ้งไม่อยากฟัง”
“แต่แกต้องฟัง ฟังจนกว่าแกจะสำเหนียกว่าตัวเองจะยุ่งเกี่ยวกับคนที่มีสายเลือดแบบนี้ไม่ได้”
“คุณภาสกับพ่อเขาไม่เกี่ยวกัน คุณภาสมีงานมีการทำ มีความรับผิดชอบ ไม่งั้นคงไม่เลี้ยงน้องชายที่ป่วยพะงาบๆมาจนถึงป่านนี้”
“เงินที่มันเอาไปจ่ายค่าหมอ ก็ได้มาจากแกนั่นแหละ อย่านึกว่าฉันไม่รู้”
“แล้วผึ้งผิดเหรอคะที่จะจุนเจือคนที่ผึ้งรัก คุณพ่อควรจะขอบใจคุณภาส ที่อย่างน้อยเขาก็ให้ความรักกับผึ้ง ทดแทนที่คุณพ่อไม่เคยให้ เพราะเอาไปทุ่มให้นังเมียน้อยหมด”
“เมื่อไรจะยอมรับซักทีว่าสวาทไม่ใช่เมียน้อย แม่แกตายไปสิบปีแล้วนะผึ้ง”
“ผึ้งไม่มีวันยอมรับมัน แต่ก็ขอบคุณนะคะที่ช่วยย้ำให้ผึ้งจำได้ว่าสิบปีแล้วที่ผึ้งต้องอยู่บ้านนี้โดยไม่ได้รับความรักจากใครเลย”
ภุมวารีสะบัดหน้าวิ่งขึ้นบันได แล้วชะงักเห็นสวาทยิ้มเยาะ แต่แวบเดียวหล่อนก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นวิตกกังวล
สวาท...เมียใหม่ของเกรียงไกร สาวใหญ่พื้นเพเป็นคนเหนือ ท่าทางสะสวย แต่งงานกับเกรียงไกรเพราะอยากสบาย นิสัยเจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง ชอบเล่นบทน่าสงสารต่อหน้าเกรียงไกร แต่จริงๆแล้วไม่เคยยอมลงให้ภุมวารี
“คุณผึ้งอย่าคิดอย่างนั้นสิคะ ไม่มีใครไม่รักคุณผึ้ง”
“ถอยไป!” ภุมวารีแว้ดใส่ก่อนเหวี่ยงสวาทให้พ้นทาง สวาทร้องวี้ดว้ายเซถลาล้มลง เกรียงไกรรีบเข้ามาประคองเมีย พลางบ่นลูกสาวอย่างเอือมระอา
เอื้อยเห็นเหตุการณ์รีบตามไปปลอบภุมวารีที่นั่งปาดน้ำตาอยู่ในห้อง
“คุณผึ้งไม่ควรพูดแบบนั้นกับคุณผู้ชายนะคะ ท่านมีลูกสาวคนเดียว ยังไงท่านก็ต้องรัก”
“ไม่จริงหรอก พ่อฉันรักแค่เงินกับนังสวาท เพราะสองอย่างนี้มันปรนเปรอความสุขให้คุณพ่อได้ ส่วนลูกอย่างฉันมันเป็นส่วนเกิน คุณพ่อกีดกันความรักของฉันทำไมนะนังเอื้อย ทำไมไม่ยอมให้ฉันกับคุณภาสแต่งงานกัน ฉันจะได้ออกไปจากบ้านนี้ ไม่ต้องอยู่เป็นส่วนเกินเกะกะสายตาคุณพ่อ”
ภุมวารีฟุบหน้าสะอื้นกับหมอนอย่างอัดอั้นตันใจ เอื้อยสงสาร อยากปลอบแต่ไม่รู้จะพูดยังไง
ที่ชั้นล่าง เกรียงไกรประคองสวาทมานั่งโซฟาด้วยท่าทางห่วงใย บ่นลูกสาวว่านับวันยิ่งอารมณ์รุนแรงมากขึ้น ถือเป็นความผิดของตนที่ปล่อยปละละเลยลูกจนเสียนิสัย
“แต่คุณก็ทำงานหนักเพื่อให้คุณผึ้งสบายนี่คะ เสียดายก็แต่คุณผึ้งไม่เห็นข้อนี้ ดันเอาเงินที่คุณหามาอย่างยากลำบากไปเผื่อแผ่ให้หม่อมหลวงตกอับนั่น”
“ก็นั่นน่ะสิ ฉันจะทำยังไงดี ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ”
“ก็ไม่ต้องห้ามสิคะ คุณหาผู้ชายที่เหมาะสมให้คุณผึ้งเสียก็สิ้นเรื่อง”
เกรียงไกรชะงัก คิดตามด้วยความสนใจ
ooooooo
ชายใหญ่กลับมาถึงเมืองไทยแค่ข้ามคืนก็ออกไปที่ไร่ภักดิ์ภิรมย์ของครอบครัวพร้อมท่านพ่อ รุจน์ ผู้จัดการไร่ให้การต้อนรับและนำชมผืนดินแตกระแหงเพาะปลูกอะไรไม่งอกงาม อีกทั้งคนงานบางส่วนก็ลาออกไปอยู่ไร่อื่นที่ให้เงินเดือนดีกว่า ชายใหญ่จึงสะสางปัญหาคนงานเป็นอันดับแรก
กลางวันวันเดียวกันนี้ ภุมวารีกับภาสกรพบกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มขอโทษเรื่องเมื่อคืนที่ทำให้เธอทะเลาะกับพ่อ
“ไม่หรอกค่ะ ถึงไม่ใช่คุณ เราก็ทะเลาะกันเรื่องอื่นอยู่ดี ผึ้งมันลูกที่ไม่ได้ดังใจ ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจคุณพ่อ แต่ผึ้งไม่สนใจหรอกค่ะ คุณพ่อจะมาห้ามผึ้งได้ยังไง ในเมื่อตัวเองก็มีเมียข้างถนนอย่างนังสวาท คุณภาสดีกว่ามันตั้งเยอะ”
“คุณผึ้งอย่าไปเปรียบเทียบแบบนี้ให้คุณพ่อฟังนะครับ ท่านจะยิ่งโกรธ”
“ผึ้งพูดไปแล้ว จะโกรธก็โกรธไป โกรธจนไล่ผึ้งออกจากบ้านได้ยิ่งดี ผึ้งจะได้มาอยู่กับคุณภาส ผึ้งอยากแต่งงานแล้วล่ะค่ะคุณภาส”
“แต่งงานเหรอครับ”
“ค่ะ เราก็คบหากันมาตั้งหลายปีแล้ว คุณภาสไม่คิดถึงอนาคตร่วมกับผึ้งบ้างเหรอคะ”
ภาสกรตอบไม่ถูกเพราะยังไม่ได้คิดร่วมอนาคตกับภุมวารี แต่ยังไม่ทันตอบอะไรหญิงเล็กกับเพื่อนเดินเข้ามาเสียก่อน
“คนสมัยนี้ไม่มียางอายกันเลยนะเธอ เป็นผู้หญิงยิงเรือมานั่งจับมือถือแขนผู้ชายต่อหน้าคนมากๆ เสียแรงจบมาจากโรงเรียนผู้ดี แต่ทำตัวเหมือนไร้การอบรม”
ภุมวารีได้ยินเสียงหญิงเล็กก็ตวัดสายตามองก่อนตอบโต้ “คนที่ชอบปากมากเรื่องชาวบ้านต่างหากที่ไม่มีใครอบรมสั่งสอน”
“ท่านพ่อของฉันสอนเสมอว่าเป็นผู้หญิงต้องรักศักดิ์ศรี รักนวลสงวนตัว อย่าให้ผู้ชายคนไหนมาฉวยโอกาส โดยเฉพาะผู้ชายที่...” หญิงเล็กหยุดพูดแต่มองภาสกรหัวจดเท้าแล้วเบ้ปาก
“คุณกำลังจะพูดอะไร คุณหญิงเล็ก”
“หม่อมราชวงศ์ภรณ์ภิรมย์ หญิงเล็กน่ะเป็นชื่อที่ฉันเอาไว้ให้เพื่อนๆกับคนที่ฐานะเสมอกับฉันเรียก
ไม่ใช่คนอย่างคุณ หม่อมหลวงภาสกร”
“คนอย่างผมมันเป็นยังไง”
“ก็ลองไปถามพ่อคุณดูสิว่าคนประเภทไหนที่โดนญาติพี่น้องร่วมตระกูลตัดหางปล่อยวัด”
ภาสกรไม่พอใจลุกขึ้นกำหมัดแน่น หญิงเล็กยิ้มเยาะไม่กลัว เพื่อนสะใจแต่ทำทีบอกหญิงเล็กว่า
พอเถอะ เดี๋ยวจะทานข้าวไม่อร่อย
“อร่อยแน่” ภุมวารีพูดจบก็หยิบจานข้าวผัดสาดใส่หญิงเล็กกับเพื่อนทันที “จะมาทานข้าวใช่ไหม ฉันจะเลี้ยงพวกเธอเอง”
สองสาวร้องกรี๊ด ภุมวารีเข้าไปเค้นคอหญิงเล็กกับเพื่อนกดลงบนจานอาหาร ภาสกรพยายามห้ามแต่คู่รักไม่ฟัง ผลักเพื่อนหญิงเล็กชนโต๊ะอื่นโครมครามแล้วตามไปจิกหัวหญิงเล็ก
“คุณผึ้ง หยุดเถอะครับ”
“มันดูหมิ่นคุณภาส จะให้ผึ้งเอาไว้ทำไม”
ภุมวารีกระชากจะตบหญิงเล็กแต่อีกฝ่ายยันมือไว้ คนในร้านแตกตื่นรีบลุกหนีกันวุ่นวายกลัวโดนลูกหลง...
เวลานั้นชายใหญ่เดินดูคนงานทำงานในไร่พร้อมกับรุจน์ ทันใดรถของท่านชายภานุดิษฐ์แล่นมาจอด ท่านชายเร่งชายใหญ่ให้กลับพระนครเพราะที่วังโทร.มาบอกว่าหญิงเล็กอยู่โรงพัก
สองพ่อลูกตรงมาที่โรงพักด้วยความร้อนใจ หญิงเล็ก นั่งอยู่ในห้องสอบสวนกับทุกคน เธอรีบลุกมาอ้อนพี่ชายเหมือนเด็กๆให้ช่วยเหลือ ท่านชายเพิ่งเห็นเกรียงไกรกับสวาทอยู่ภายในห้องด้วย
“คุณเกรียงไกร นี่เกิดอะไรขึ้น”
“เรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันตามประสาเด็กกระหม่อม แต่บังเอิญว่ามีการทำลายทรัพย์สินกันภายในร้านอาหารด้วย”
“ฉันไม่ได้ทำ ฝีมือนังผึ้งทั้งหมดนั่นแหละ”
“ก็เธอพูดจาดูถูกฉัน เหลือปากไว้ให้กินข้าวได้นี่ดีเท่าไรแล้ว”
หญิงเล็กปรี๊ดแตกจะเข้าไปแลกกับภุมวารีอีก เกรียงไกรลุกขึ้นขวาง
“เอาล่ะๆ ผมขอรับผิดชอบทุกอย่างแทนลูกสาวเอง จะเรียกค่าเสียหายเท่าไรก็ว่ามา รวมถึงค่าทำขวัญของคุณหญิงด้วย”
“ฮึ! เอะอะก็เอาเงินฟาดหัว”
“หรือว่าคุณหญิงไม่อยากได้ ทุกวันนี้เสื้อผ้าที่คุณหญิงใส่ ข้าวที่คุณหญิงรับประทานเข้าไปก็ไม่ใช่ว่ามาจากเงินของผมหรือครับ” เกรียงไกรแค่นยิ้มแล้วหันไปทางท่านชาย
หญิงเล็กโวยวายว่าเกรียงไกรพูดอะไร ท่านชายตวาดห้ามแต่ไม่กล้าสบตาลูก พูดกับตำรวจอย่างถือตัว
“พวกฉันขอตกลงเรื่องนี้กันเองก็แล้วกันคุณตำรวจ อย่าให้เอิกเกริกไปเลย”
หญิงเล็กไม่พอใจ แต่เกรียงไกรอมยิ้ม รู้ว่าท่านชายไม่อยากเสียหน้ามากไปกว่านี้
ooooooo
เวลาต่อมา หญิงเล็กเดินตามท่านพ่อกับพี่ชายเข้าตึก เธอโวยวายไม่หยุดว่าท่านพ่อทรงยอมให้นายเกรียงไกรนั่นหมิ่นเกียรติตน หมิ่นเกียรติพวกเราทุกคน
“หรือหญิงอยากจะให้ขายขี้หน้าไปทั่วเมืองว่าถูกตำรวจจับเพราะทะเลาะตบตีกันเหมือนพวกผู้หญิงข้างถนน อย่างนั้นไม่เสียเกียรติกว่าหรือ”
“แต่ที่จริงหญิงเล็กถูกทำร้ายนะครับ ทางเราเอาเรื่องได้”
“ชายจะเอาเรื่องเอาราวทำไม แค่คุณเกรียงไกรพูดขึ้นมาต่อหน้าคนอื่น พ่อก็อายจนจะแทรกแผ่นดินหนีแล้ว”
“งั้นก็ทรงไถ่ถอนหนี้สินที่ติดพวกมันสิคะ ขายไร่ใช้หนี้ไปให้หมด ดูซิว่าจบสิ้นกันแล้วมันยังจะกล้าเหยียบย่ำเราอยู่อีกไหม”
ท่านชายสีหน้าอึดอัด ชายใหญ่อยากรู้ว่าท่านพ่อทรงกู้ยืมพวกเขามาเท่าไหร่ พอได้ยินตัวเลขว่ายี่สิบล้านก็อึ้งงันไปทั้งพี่ทั้งน้อง หลังจากนั้นพูดคุยกันตามลำพัง หญิงเล็กขอร้องชายใหญ่อย่าโกรธท่านพ่อ ท่านทรงพยายามประคับประคองไม่ให้พวกเราทุกคนต้องพบกับความลำบาก ท่านหวังดีกับเราสองคน
“พี่ไม่ได้โกรธท่านพ่อ แต่พี่เสียใจที่รู้เรื่องนี้ช้าเกินไป พี่ไม่จำเป็นต้องไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาใช้เงินบนกองหนี้สินที่ท่านพ่อต้องบากหน้าไปหยิบยืมเขามา”
“เพราะท่านพ่อทรงหวังในตัวพี่ชายใหญ่ไว้ว่าเมื่อเรียนจบกลับมา ความรู้ของพี่ชายใหญ่จะกลับมาช่วยกอบกู้ฐานะของเราไงคะ”
“แต่หนี้สินที่มันพอกพูนขึ้นทุกวันมันไม่รอใคร พี่ไม่อยากให้ท่านพ่อต้องแบกรับภาระหนักอึ้งอย่างนี้อีกแล้ว”
เมื่อน้องสาวถามว่าพี่ชายใหญ่จะทำยังไง เขาตอบเด็ดเดี่ยวว่าพี่จะหางานทำ...
เวลาเดียวกันเกรียงไกรเอ็ดตะโรใส่ภุมวารีทันทีที่กลับถึงบ้าน “ยี่สิบล้าน...ถ้าไม่มียี่สิบล้านค้ำคอท่านชายภานุดิษฐ์อยู่ ป่านนี้แกก็อาจจะติดตะรางไปแล้ว”
“พ่อไม่ปล่อยให้ผึ้งติดตะรางให้ขายหน้าหรอก”
“ฉันอาจจะยอมก็ได้ อย่างน้อยแกก็ไม่ต้องควงไอ้หม่อมหลวงนั่นไปมีเรื่องตบตีกับใครให้ฉันต้องเอาปี๊บคลุมหัวเดินอีก”
“เรื่องนี้คุณภาสไม่เกี่ยว”
“ก็ที่แกไปตบคุณหญิงเล็กไม่ใช่เพราะอยากจะปกป้องชื่อเสียงมันเหรอ ทำอย่างกับว่ามันเหลือเกียรติเหลือศักดิ์ศรีอะไรให้ปกป้อง พ่อขอสั่งเป็นครั้งสุดท้ายนะผึ้ง ห้ามไปยุ่งเกี่ยวข้องแวะกับไอ้ภาสกร ถ้าแกยังไม่เชื่อล่ะก็ ฉันจะแยกแกสองคนออกจากกันให้เด็ดขาด”
“ถ้างั้นคุณพ่อก็ต้องฆ่าผึ้งให้ตายซะก่อน เพราะตราบใดที่ผึ้งยังมีลมหายใจ ผึ้งกับคุณภาสจะไม่มีวันแยกจากกัน” ภุมวารีเดินปึงปังขึ้นห้อง เกรียงไกรส่ายหน้าระอาใจ
ooooooo
รุ่งขึ้นภุมวารีท้าทายคำสั่งของพ่อด้วยการจะออกไปพบภาสกรให้ได้ แม้เอื้อยบอกว่าสวาทคอยจับตาแทนเกรียงไกรที่ออกไปทำงาน หญิงสาวก็ไม่อินังขังขอบ วางแผนแยบยลจนตัวเองออกจากบ้านไปได้
หารู้ไม่ว่าสวาทไม่ได้หลงกล แต่ซ้อนแผนด้วยการสะกดรอยโดยให้นายจวนขับรถตามไปถึงตลาดองค์พระในตัวเมืองนครปฐม ส่วนเกรียงไกรพอถึงบริษัทก็พบว่าชายใหญ่มาจากพระนครกำลังรอพบเขาอยู่
หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว เกรียงไกรถามชายใหญ่ว่ามีอะไรให้ช่วยตนยินดีเสมอ ท่านพ่อของคุณชายก็ทรงทราบดีว่าตนไม่เคยรังเกียจที่จะช่วยเหลือคนที่ได้ชื่อว่าเพื่อนเก่า
“ผมอยากจะมาคุยกับคุณเกรียงไกรเรื่องหนี้สินของท่านพ่อ”
“นี่คุณชายคงไม่ได้จะเอาเงินมาใช้หนี้หรอกนะ”
“เปล่าหรอกครับ ตอนนี้ผมยังไม่มีเงินทองมากขนาดนั้น แต่ผมคิดว่าความรู้ความสามารถของผมน่าจะพอช่วยชำระหนี้ได้ ผมอยากจะมาช่วยงานที่บริษัทของคุณเกรียงไกร”
“คุณชายจะมาทำงานใช้หนี้ให้ท่านชายอย่างนั้นหรือครับ คุณชายคงไม่ทราบว่าท่านพ่อของคุณชายทรงมีหนี้สินอยู่เท่าไร”
“ยี่สิบล้านบาท”
“แล้วคุณชายคิดว่าจะต้องทำงานกี่ปีถึงจะใช้หนี้จำนวนนั้นได้หมดล่ะครับ”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของคุณ แต่คุณเกรียงไกรคงทราบว่าแม้ผมจะยังเรียนไม่จบปริญญาเอก แต่ปริญญาโทจากอังกฤษก็น่าจะเทียบเงินเดือนในประเทศไทยได้ไม่น้อยนักใช่ไหมครับ ผมยินดีที่จะเซ็นสัญญาผูกมัดตัวเองกับงานที่นี่แลกกับหนี้สินของท่านพ่อจนหมด ถ้ามีการบิดพลิ้วคุณย่อมมีสิทธิฟ้องร้องตามกฎหมาย”
“อันที่จริงการได้คนหนุ่มนักเรียนนอกมาช่วยงานก็น่าจะเป็นเรื่องดีกับบริษัทของเรา ถ้าคุณชายตั้งใจจริง ผมจะลองเอาไปคิดดู”
“ขอบคุณมากครับ ถ้าอย่างนั้นผมลา”
ชายใหญ่ลุกขึ้นไหว้เกรียงไกรแล้วเดินพ้นไปไม่ไกล นายจวนก็รีบร้อนเข้ามารายงานเกรียงไกรตามคำสั่งของสวาทว่าให้เชิญเขาไปที่ตลาดในเมืองเพื่อดูคุณผึ้ง...
ภุมวารีหรือผึ้งนัดพบภาสกรที่ตลาดองค์พระ ชายหนุ่มนำแหวนทองประจำตระกูลมาแลกเงินจากหญิงสาวเพื่อเอาไปเป็นค่ารักษาน้องชาย
สวาทเดินกวาดตามองหาภุมวารีหลังจากไล่จวนไปตามเกรียงไกร ภาสกรตาไวเป็นฝ่ายเห็นเธอก่อนจึงบอกให้ภุมวารีหลบไปก่อน หากแม่เลี้ยงเธอเห็นเราสองคนต้องฟ้องพ่อเธอแน่ เราจะยิ่งพบกันลำบาก
ภุมวารีกับภาสกรแยกกันไปคนละทาง สวาทวิ่งไล่กวดลูกเลี้ยงพร้อมตะโกนเรียกให้หยุดแต่ไม่เป็นผล หญิงสาววิ่งเตลิดไปหลังตลาดชนกับสาวชาวบ้านคนหนึ่งจนล้มด้วยกันทั้งคู่ ทันทีที่ต่างฝ่ายต่างเห็นหน้ากันก็ผงะเหมือนโดนผีหลอกกลางวัน
ภุมวารีกับนวลตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนที่นวลจะลนลานลุกขึ้นวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว ภุมวารีทำท่าจะตามแต่ได้ยินเสียงสวาทดังแว่วมาเลยต้องรีบหลบ
นวลวิ่งไปอย่างตื่นกลัว ใจสั่นระรัวไม่รู้ว่าผู้หญิงที่เห็นนั่นคือใคร ทำไมถึงหน้าตาเหมือนตัวเองราวฝาแฝด อารามรีบร้อนเธอไม่ทันดูทางวิ่งไปชนกับชายคนหนึ่งจนตัวเองเกือบล้ม
เขาคือชายใหญ่นั่นเอง ชายใหญ่ออกจากบริษัทของเกรียงไกรและให้คนขับรถแวะที่ตลาดเพื่อกินมื้อกลางวันก่อนกลับเข้าพระนคร แวบหนึ่งที่เห็นเธอ ชายใหญ่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเพราะเคยเห็นภุมวารีที่โรงพักแต่ยังไม่ทักถาม สวาทก็ปรี่เข้ามากระชากแขนหญิงสาว
“คุณผึ้ง เจอตัวจนได้ คราวนี้คุณหนีฉันไม่พ้นหรอก คิดว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบนี้แล้วจะตบตาฉันได้เหรอ คุณพ่อคุณกำลังมาที่นี่”
นวลงุนงง ครั้นโดนสวาทกล่าวหาว่าขัดคำสั่งพ่อแอบมาพลอดรักกับคู่รักก็ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก แต่สวาทใช้ความรุนแรงโดยไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ชายใหญ่ขัดขวางเพราะไม่ชอบใจการฉุดกระชาก นวลฉวยโอกาสนี้วิ่งหนีหายไป พอดีเกรียงไกรวิ่งเข้ามาพร้อมจวน เห็นชายใหญ่อยู่กับสวาทก็แปลกใจ ถามเขาว่ามาทำอะไรที่นี่
“ผมผ่านมาเห็นคุณคนนี้กำลังฉุดกระชากกับ... ผู้หญิงคนนั้นคือลูกสาวคุณอาเหรอครับ เกิดอะไรขึ้น”
เกรียงไกรปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ชายใหญ่รู้เรื่องภุมวารีหนีมาพบผู้ชาย “ไม่มีอะไรครับ นี่ภรรยาผม คงจะเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ขอโทษด้วยนะครับคุณชายที่ทำให้ตกใจ” ว่าแล้วก็ดึงแขนสวาทออกไปบอกให้รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือชายใหญ่โอรสท่านชายภานุดิษฐ์ ทำไมถึงมาเจอกับเธอได้
“ฉันวิ่งตามคุณผึ้งมา ก็เห็นคุณคนนี้ยืนคุยกับคุณผึ้งอยู่ ก่อนที่เธอจะวิ่งหนีไป”
“เป็นไปได้ยังไง คุณชายใหญ่ไม่รู้จักลูกสาวฉัน เจอกันผิวเผินแค่ครั้งเดียว เธอแน่ใจนะว่ายายผึ้งอยู่ที่นี่”
“ฉันเห็นกับตาว่าคุณผึ้งแอบมาพบปะกับหม่อม หลวงภาสกรที่นี่ แทบจะกอดจูบกันกลางตลาดเสียด้วยซ้ำ เกือบจับตัวได้แล้วเชียวถ้าไม่ใช่คุณชายนั่นมาวุ่นวาย”
เกรียงไกรหงุดหงิดไม่พอใจที่ลูกสาวขัดคำสั่ง
ooooooo