ตอนที่ 13
สำลีพาคณะตรินมาถึงไร่เดือนดาราและพาไปพักบนเรือนไทยที่เตรียมไว้ วิญญาณพริ้งเห็นหน้าตาแขกหนุ่มทั้งสามก็จำได้ อุทานเสียงดัง
“อกอีพริ้งแตก! นั่นมันคุณเสริม ไอ้อ่ำ ไอ้สน แห่กันมาเป็นทิวแถว เวรกรรม...กรรมก็รับไปเมื่อร้อยปีก่อนยังจะพากันมารับกรรมซ้ำอีก”
วิญญาณนางเอิบได้ยินเสียงโวยวายก็พยายามซักไซ้ แต่จนแล้วจนรอดวิญญาณพริ้งก็ไม่บอกและผละหนีดื้อๆ วิญญาณนางเอิบไม่ยอมแพ้พุ่งตามติดกระทั่งทั้งคู่เห็นหน้าตาคณะของตรินชัดๆ
“คุณเสริม ไอ้อ่ำ ไอ้สนนี่นา”
วิญญาณพริ้งไม่ตอบแต่แกล้งหลอกสามหนุ่ม วิญญาณนางเอิบตั้งตัวไม่ทันหวิดทำให้เรื่องวุ่นวาย โชคดีที่วิญญาณพริ้งไหวตัวทันลากไปหลบอีกมุม
วิญญาณนางเอิบตบอกผาง ก่อนหันไปเอ็ดวิญญาณพริ้งที่ทำท่าจะโวยวาย
“อย่าเพิ่งชวนทะเลาะ ข้ากำลังตกใจว่าทำไม ทั้งสามคนกลับชาติมาเกิดเหมือนคุณพลอย นังชื่น นังดาวเรือง”
“ก็เพราะลิขิตที่ขีดไว้ไงล่ะ อย่าโง่! คอยดูเถิดนังแก่แร้งทึ้ง นังคุณผู้หญิงต้องจัดการทุกคนเหมือนชาติที่แล้ว”
“ข้าก็ว่าอย่างเอ็งนั่นแหละนังสาระแน แต่ข้าไม่ยอมแน่ๆ”
“ใครว่าฉันจะยอม เราต้องร่วมมือกันปกป้องคุ้มครองหกคนนี้”
“และแค่นั้นไม่พอ ต้องหาทางทำให้ทั้งหกคนไปให้พ้นจากที่นี่...ทำยังไงดี เอ็งออกความคิดมาสิ”
“ไปปรึกษากันที่ถ้ำ”
สองวิญญาณคู่กัดหายวับไปหลังจากนั้น ทิ้งให้คณะตรินมองหน้ากันเครียดๆเพราะผวาไม่หายที่เจอดีตั้งแต่มาถึงวันแรก ทั้งเปรตทั้งผีบ้านผีเรือน ปกรณ์หรือสนในอดีตชาติขวัญอ่อนกว่าใครจนอยากกลับกรุงเทพฯเต็มแก่ แต่ตรินกับกษมาหรือเสริมกับอ่ำรั้งไว้ ขอเจอหน้าลูกสาวบุญธรรมทั้งสามของเดือนดาราก่อนค่อยกลับ
ooooooo
เดือนดาราประสาทเสียมากหลังปะทะอารมณ์กับวิญญาณแสง ปรี่ไประบายกับสำลี
“คุณพี่ประกาศว่าเกลียดฉัน ฉันทนไม่ได้”
“มิน่า...คุณหญิงถึงดูอิดโรยมากในเวลาชั่วโมงเศษ กระผมเตือนแล้วไงขอรับว่าอย่าโมโห มันบั่นทอนสุขภาพ”
“ฉันพยายามแล้ว แต่คุณพี่ไม่มีเยื่อใยเหลือไว้ให้ฉันสักนิดเดียว”
“เพราะคุณหญิงเอารูปคุณตรินกับสองคนนั่นให้คุณท่านดู กระผมขอเตือน...อย่าไปกระตุกอารมณ์โกรธคุณท่าน ปล่อยคุณท่านอยู่สงบๆแล้วรอจังหวะเวลาของเราดีกว่าขอรับ พยายามทำให้คุณท่านคืนดีกับคุณหญิงดีกว่าขอรับ”
“ขอบใจที่คอยเตือน ฉันจะพยายามไม่ก่อกวนคุณพี่อีก ฉันดูโทรมไปมากไหม”
“พอสมควรทีเดียวขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณเสริมก็จะไม่เห็นว่าฉันสวยสิ ลุงสำลี...ช่วยฉันนะ”
“แหม...กะทันหันมากนะขอรับ จะหาไม่ทันนะขอรับ แถมยังไม่มืดด้วย”
สำลีแบ่งรับแบ่งสู้เพราะการขโมยเลือดมาทำพิธีไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ทันที กระนั้นเพื่อความสำเร็จของแผนจึงรับปากแบบเสียไม่ได้ หลวงพี่นะโมหรือหลวงปู่มั่นในอดีตชาติรับรู้ด้วยญาณพิเศษ พึมพำปลงๆ
“เวรกรรมซ้ำซากซ้ำแล้วซ้ำอีก ผลาญชีวิตผู้คนดังเช่นผักปลา หน้ามืดตามัวถลำลึกเข้าสู่อเวจีมากขึ้นทุกที”
วิญญาณพริ้งกับเอิบเริ่มป่วนคณะตรินเพื่อไล่ให้พวกเขากลับกรุงเทพฯ กษมากับปกรณ์ผวาไม่น้อยแต่เสริมไม่สะทกสะท้านจนสองวิญญาณคู่กัดเหนื่อยใจ
“คุณเสริมไม่กลัวผี”
“เอ็งหลอกน้อยไปนังพริ้ง”
“งั้นเอาให้หนักกว่านี้”
“กลับไปตั้งหลักพักในถ้ำก่อน”
“พักมันที่นี่แหละ เตียงสามเตียงนี่น่านอนมาก”
“นังผีไม่เจียมตัว ขี้กลากจะลามปาม เอ็งเป็นบ่าวอย่าบังอาจ”
“บ่าวน่ะเขาเลิกไปนานแล้วยัยแก่ ไม่มีบ่าวไม่มีนาย มีแต่อำนาจเงินตราและผู้ยากไร้”
“เอ็งพูดอะไรเวียนหัว”
“ฉันจะนอนบนเตียง แกอยากนอนที่พื้นก็ตามสบาย”
จบคำก็ล้มตัวนอนบนเตียงของสามหนุ่ม วิญญาณนางเอิบอึ้งมาก ไม่กล้านอนบนเตียงเพราะกระดาก กระนั้นก็ไม่อยากทิ้งวิญญาณพริ้งไว้ลำพังเลยล้มตัวนอนบนพื้นด้านล่าง
ooooooo
สภาพเหี่ยวย่นทรุดโทรมอย่างรวดเร็วของเดือนดาราทำให้สำลีรอไม่ได้ รีบไปขโมยเลือดจากเด็กชาวบ้านแถวนั้นมาทำพิธี เดือนดารารับเลือดมาถือพลางนิ่วหน้าถาม
“ไปเอามาจากไหน”
“เด็กนักเรียนลูกคนงานกำลังถีบจักรยานกลับบ้าน”
“โธ่...ดื่มไม่ลงหรอก ทีหลังอย่าไปยุ่งกับเด็กนะลุงสำลี”
“มันเร่งด่วนนี่ขอรับ หางตาคุณหญิงตีนกาขึ้นแล้ว หน้าผากเริ่มย่นเพราะโกรธง่าย ดื่มเถิดขอรับ”
คำบอกเล่าของสำลีทำให้เดือนดาราต้องลุกไปส่องกระจก แล้วต้องเบิกตาโพลง
“ตายจริง! นี่ฉันหรือ เอ้อ...แต่ทำไมไม่ทำมาเป็นหลอด แบบนี้มันน่ากลัว”
“ไม่ทันแล้วขอรับ ไม่มีเวลา ป่านนี้ทุกคนรอแล้วนะขอรับ หรือคุณหญิงไม่อยากพบคุณเสริม”
เดือนดาราจำต้องดื่มเลือดเพื่อความสำเร็จของแผน ริ้วรอยบนใบหน้าเธอจึงกลับมาเต่งตึงเช่นเดิม
คณะตรินมาร่วมโต๊ะมื้อค่ำพร้อมลูกสาวบุญธรรมสามคนของเดือนดารา เอื้องคำบอกให้ทุกคนนั่งตามป้ายชื่อที่เดือนดาราเตรียมไว้ วริศราเห็นชื่อตัวเองนั่งตรงข้ามตรินก็เบ้หน้า ต่างจากตรินที่ยิ้มหน้าบาน
“ดีจัง ผมชอบที่นั่งของผมมาก”
“ฉันไม่ชอบ ฉันจะเปลี่ยนที่นั่ง”
วริศราฮึดฮัด จะลุกเปลี่ยนที่นั่งแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเดือนดาราดังมาก่อนตัว
“แม่จัดไว้ดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก”