ตอนที่ 1
สนามบินดอนเมือง ไชโยยืนชะเง้อคอยชยุติลูกชายกลับจากต่างประเทศ มีวลัยน้องฝาแฝดภรรยายืนขนาบคอยแต๊ะอั๋ง ใบหน้าเคลียร์ไหล่เขาราวกับเป็นภรรยาเสียเอง วลีกับกนกวิภาเดินเข้ามา วลีตาขวางกระแอมใส่
“ไม่ใกล้ชิดกันเกินไปหน่อยเรอะแม่วลัย ที่ทางเขาออกกว้างขวางนะ”
“แหม คุณพี่ก็ ก็คนมันมากจะให้น้องไปอยู่ตรงไหนคะ ถ้าไม่ใช่ตรงนี้”
วลีบอกตรงไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ตรงสามีตนอยู่ กนกวิภาร้องอย่างตื่นเต้นว่าชยุติมาแล้ว เสียงฉาบกลองดังขึ้นพร้อมการเชิดสิงโตยิ่งใหญ่...ชยุติเข็นกระเป๋าออกมาพร้อมรอยยิ้ม กนกวิภาวิ่งเข้าไปกอดพี่ชาย วลีกำลังจะเข้าสวมกอดแต่ถูกวลัยตัดหน้า
“ติ หลานรักของอี๊”
วลีต้องเบียดแทรกเข้าไปกอดลูกชายหัวแก้ว หัวแหวน ไชโยดีใจภาคภูมิใจมากถึงกับตะโกนบอกคนแถวนั้นว่า ลูกชายตนเรียนจบปริญญาโทบริหารจากฟิลิปปินส์กลับมา กนกวิภาปรามป๊าว่าอายเขา วลัยกลับติงว่าจะอายทำไม คนธรรมดาทำอย่างพวกเราไม่ได้ วลีรีบถามว่าไม่ได้เอาเมียแหม่มหัวแดงมาด้วยใช่ไหม ขาดคำก็มีเสียงทักทายเป็นภาษาอังกฤษ...ไฮ!
ชยุติทักแนนซี่แล้วแนะนำให้รู้จักแด๊ดกับมัม ทุกคนตะลึงคิดว่าเป็นเมียแหม่มชยุติ วลีทำท่าจะเป็นลมชยุติรีบบอกว่าเธอเป็นเพื่อนที่เดินทางกลับมาด้วยกันเท่านั้น
รถสองคันแล่นเข้ามาจอดในคฤหาสน์ จี๊ดกับจ๊าดสองสาวใช้ยืนรอต้อนรับ ชูดวงคนขับรถลงมาเปิดประตูรถให้ชยุติกับไชโยลง สองสาวใช้เข้าขนสัมภาระกันวุ่นวาย กนกวิภาทวงของฝากทันที ชยุติส่งถุงที่แยกต่างหากให้ บอกสำหรับน้องสาวสุดที่รัก มีทั้งช็อกโกแลต เสื้อผ้า และน้ำหอม หญิงสาวสวมกอดขอบคุณพี่ชาย
มาลัยยืนเท้าเอวอยู่ตรงประตู วลัยสะกิดหลานชาย เขาดีใจมากวิ่งเข้าไปกราบแทบเท้า มาลัยถามเอาเมียแหม่มมาฝากหรือเปล่า เขาเย้าว่าเอามาทั้งลูกและเมียเลยแล้วอุ้มอาม่าเหวี่ยงไปรอบๆ มาลัยหัวเราะ วลีปรามเล่นเป็นเด็กแล้วเหน็บอาม้าตัวเองว่าไม่หลับนอนเดี๋ยวก็ป่วยอีก
“ไม่สบายก็เรื่องของอั๊ว รำคาญนักก็ส่งไปอยู่บ้านบางแคซะเลยสิ เขาไม่อยากให้อยู่เราก็ไปกันสองคนนะไอ้ตี๋นะ” มาลัยเถียง
ชยุติรับคำแล้วอุ้มอาม่าเข้าบ้านหัวเราะกันสดชื่น... ในคืนนั้นชยุตินอนไม่หลับ มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นหลังคาโรงงิ้ว วลีเดินเข้ามาเขาจึงถามแม่ว่าโรงงิ้วนั้นยังอยู่ดีหรือเปล่า วลีว่าโรงงิ้วสับปะรังเคก็อยู่อย่างเดิมเพราะพวกนั้นจะไปทำมาหากินอะไรได้อีก ชยุติอยาก ออกไปขับรถชมกรุง วลีรีบห้ามอย่าทำอะไรแผลงๆเหมือนอาม่าอีกคนเลย
วลีกลับออกไป ชยุติยังมองโรงงิ้วคิดถึงวัยเด็ก ที่ได้วิ่งเล่นกับบัวและดำเกิง ไม่รู้ว่าป่านนี้ทั้งสองเป็นอย่างไรบ้าง
ooooooo
เช้าวันใหม่ บัวกลับจากจ่ายตลาด ไม่เห็นดำเกิงเอาชุดงิ้วออกมาผึ่งแดดก็บ่นใส่ ดำเกิงแก้ตัวว่าคืนนี้เจียงสั่งงดเล่นงิ้วจะตากทำไม บัวแย้งว่าทำอย่างนั้นก็เสียชื่อคณะหมด ดำเกิงว่าเราจะช่วยอะไรป๊าได้ บัวครุ่นคิดมันต้องมีทาง บัวเศร้าใจเข้ามานั่งลูบไล้ชุดงิ้วด้วยความรักและอาลัย
ธานี เสี่ยหน้าเลือดประจำซอย คอยปล่อยเงินกู้และเก็บดอกเบี้ยมหาโหดจากชาวบ้าน มีขวดเป็นลูกน้องท่าทางยียวน เดินตามลูกพี่รีดไถดอกเบี้ยจากพ่อค้าแม่ค้าอย่างเหี้ยมโหด จนมาถึงบ้านเจียง เจอดำเกิงกับบัวก็ตวาดถามหาเจียง
เจียงได้ยินรีบออกมาเชื้อเชิญธานีเข้ามาดื่มน้ำชา ธานีปัดไม่ดื่มจะมาเก็บดอกเบี้ย เจียงขอผัดสักสองวัน ก็โดนตวาดใส่
“อะไรวะ ลื้อผัดมาตั้งกี่วันแล้ว วานซืนก็ขอผัด มาวันนี้ก็ขอผัดอีก พูดไม่เป็นคำพูดอย่างนี้ หมาชัดๆ”
ดำเกิงไม่พอใจขยับจะเข้าใส่ ขวดถลกแขนปกป้องเจ้านาย ดำเกิงผลักหงายกระแทกธานีล้มก้นจ้ำหน้าเหยเก เจียงเอ็ดอย่าเสียมารยาท แล้วยกมือไหว้ขอความกรุณาอีกสักครั้งหมุนเงินไม่ทันจริงๆ ธานีถ่มน้ำลายใส่อย่างกักขฬะ
“ลื้อพูดยังงี้มันเอาแต่ได้นี่หว่า เงินอั๊ว อั๊วก็ต้องหมุนเหมือนกัน อั๊วไม่ได้มีเงินเป็นถุงเป็นถังนะโว้ย ยังไงวันนี้ลื้อก็ต้องจ่ายดอก...ไอ้ขวดเอาบัญชีมา”
ขวดเปิดหน้าส่งให้ธานีอ่าน ต้นสองแสน ดอก แปดหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยยี่สิบ ดำเกิงตาโตหาว่าโกง ธานีโยน สมุดบัญชีใส่หน้าให้ดูเอา แล้วบ่นว่าตอนหน้าฝนไม่มีงานก็บากหน้ามากู้เงิน ถ้าไม่ช่วยจะมีกินมีใช้แบบนี้หรือ ขวดเป็นพวกนายว่าขี้ข้าพลอยทันที ดำเกิงสวน
“แต่คิดดอกเบี้ยมหาโหดแบบนี้ มันหน้าเลือดเกินไป ใครจะมีปัญญาจ่ายวะ”
“อาเกิ่ง อย่าเสียมารยาท นั่งลง บุญคุณของเสี่ยธานี อั๊วจำได้ไม่เคยลืม เสี่ยรอสักเดี๋ยวนะ...เกิ่งเอานาฬิกาป๊าไปตึ๊งที รีบไปรีบมา เสี่ยเขาคอยอยู่” เจียงเอ็ดแล้วปลดนาฬิกาข้อมือให้
“ป๊า นาฬิกาเรือนนี้พวกเราอุตส่าห์รวมตังค์กันซื้อให้ป๊าเป็นของขวัญปีใหม่นะ”
หลอแทรกเข้ามาบอกให้ดำเกิงทำตามที่เจียงสั่ง และถอดสร้อยคอทองคำจากคอตัวเองให้ไปด้วย เจียงกับบัวพยายามข่มใจให้นิ่งทั้งที่ใจจะขาดรอนๆ
สักพักดำเกิงกลับมาวางเงินลงสองพัน จี้ธานีจดให้ละเอียด เจียงชอบคุณธานีบอกว่าจบงานฉลองศาลเจ้า คงมีเงินให้อีกก้อน ธานีเยาะว่าจ่ายไม่กลัว กลัวไม่จ่าย แล้วเหลือบเห็นบัว
“อาบัว อั๊วเห็นลื้อมาตั้งแต่ยังแก้ผ้าวิ่งโทงๆอยู่แถวนี้ เผลอแป๊บเดียวปีนี้ลื้อโตเป็นสาวสะพรั่งแล้วนะ” ธานีมองบัวด้วยสายตาโลมเลีย
ดำเกิงรีบไล่เจ้านายและลูกน้องให้กลับ ธานียิ้มเหยียดก่อนไป “แล้วอั๊วจะมาใหม่ อย่าลืมล่ะ ไอ้โรงงิ้วกับที่ดินตรงนี้มันอยู่ในกำมืออั๊ว”
ดำเกิงเข่นเขี้ยว คนอะไรเกิดมาหน้าตาน่าเกลียดไม่พอ ยังหน้าเลือดอีก เจียงกับบัวถอนใจ
ooooooo
ชยุตินั่งเซ็งอยู่ในห้อง วลีเข้ามาเร่งให้แต่งตัว บอกว่านักข่าวกับแขกมากันเต็มบ้านแล้ว ชยุติบ่นทำไมต้องแถลงข่าวกับแค่ตนเรียนจบกลับมา วลีลูบหลังลูบไหล่
“ลูกนี่ช่างไม่รู้อะไรเลย ไม่ทำข่าวแล้วเราจะเป็นข่าวได้ยังไงจ๊ะ ในเมื่อเราจะต้องเป็นคนที่คนอื่นให้ความสนใจ มันจำเป็นจ้ะ เดี๋ยวนี้นักร้องดังๆน่ะจะเข้าโรงพยาบาลผ่าริดสีดวง เขายังต้องทำข่าวกันเลยลูก...นี่ถ้าลูกไม่รู้จะทำตัวยังไงก็เฉยไว้ ยิ้มอย่างเดียวนะลูกนะ ใครถามคำถามอะไรก็ตอบเก๋ๆไว้เป็นดี ตกลงนะจ๊ะ คิดซะว่าทำเพื่อป๊ากับม้า”
ชยุติฝืนใจรับคำ วลีดีใจหอมแก้มลูกแล้วช่วยแต่งตัวให้...พอลงมาที่ห้องโถง แขกเหรื่อและนักข่าวเต็มบ้าน ไชโยกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า ลูกชายตนตรากตรำกับการเรียนหนัก และไม่ทำให้ตนผิดหวัง คว้าปริญญาสองใบกลับมา ตนขอประกาศให้ชาวโลกรับรู้ว่าเกียรติกำจรในวันข้างหน้าจะยิ่งกำจรเกียรติขึ้นไปอีก แล้วดึงตัวชยุติมาโชว์ตัวกับทุกคน
แสงแฟลชสว่างวูบวาบ มาลัยเดินผ่ากลางขวางทางช่างภาพถาม “ทำอะไรกันวะ หนวกหูจริงๆ ไม่รู้จักเกรงใจชาวบ้านชาวช่องเขามั่ง อ้าวแล้วนี่ใครเอาต้นไม้ข้ามาตั้งตรงนี้วะ ไอ้ชู ไอ้ชูอยู่ไหนวะ มายกต้นไม้เข้าไปไว้ ที่เดิมที”
ชูดวงวิ่งเข้ามา ผู้คนเริ่มระส่ำระสาย วลีตบอกที่อาม้าของตนทำเรื่องอีก สั่งคนไปพาตัวออกมา ชยุติรีบดึงมาลัยมาร่วมถ่ายรูป มาลัยยิ้มชอบใจ กอดหลานชายเตะท่าถ่ายรูปกันสองคน ไม่เอาทั้งอาม้า อาอี๊และน้องสาว บอกพวกนั้นดัดจริตเดี๋ยวรูปตนออกมาเป็นตัวตลก นักข่าวและแขกหัวเราะครื้นเครง ชยุติกอดอาม่าโพสท่ากันสนุกสนาน...
ที่หลังโรงงิ้ว บัวนั่งร้องไห้อยากช่วยป๊าหาเงินเป็นการทดแทนบุญคุณที่ชุบเลี้ยงตนมา แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร แสงแดดส่องกระทบกระบังหน้าของไป๋ซู่เจินได้มุมองศางดงามดูขลังอลังการ บัวเหมือนต้องมนต์สะกด เอื้อมมือไปสัมผัสแล้วเปล่งเสียงร้องบทไป๋ซู่เจินออกมา
ดำเกิงกำลังรินน้ำชาให้เจียงกับหลอ ได้ยินเสียงร้องมีพลังก็ชะงัก เจียงถามว่าเสียงใคร หลอบอกนี่แหละน้ำเสียงนี้ใช่ไป๋ซู่เจินจริงๆ ทั้งสามลุกเดินตามเสียงร้องออกไป
บัวกอดกระบังหน้าร้องบทไป๋ซู่เจินออกมาจากความทรงจำแล้วเริ่มออกท่าทางได้อย่างสวยงาม เจียง หลอและดำเกิงเข้ามาเห็นยืนตะลึง ชาวคณะตามเข้ามาดูอย่างสนใจ บัวร้องอย่างได้อารมณ์ทั้งน้ำตาที่ปริ่มออกมาจนจบ
เสียงปรบมือดังขึ้น บัวสะดุ้งหันมาเห็นป๊ากับทุกคนก็ตกใจ มีเพียงเจียงที่ยืนนิ่ง หลอรีบบอกว่านี่แหละนางเอกตัวจริงของเรา ดำเกิงดีใจ
“หมายความว่าคืนนี้เราไม่ต้องงดแสดงแล้ว เพราะบัวจะได้เล่นเป็นไป๋ซู่เจินใช่ไหมครู”
“ก็งั้นสิวะ ไอ้เกิ่ง”
บัวหน้าเสียกลัวทำไม่ได้ หลอยุให้บัวสู้เพื่อคณะ ทุกคนเฮดีใจเข้ากอดบัว บัวเหลือบมองหน้าเจียงอย่างหวาดหวั่น หลอบอกว่าเรามีเพชรอยู่ในมือแท้ๆ แต่ไม่เคยเห็นคุณค่า ช่างโง่จริงๆ
“คืนนี้คณะเหลี่ยนฮัวจะไม่มีการแสดงอะไรทั้งนั้น!” เสียงเจียงประกาศิตออกมา
ทุกคนเหวอ หลอรีบตามไปคุยกับเจียงที่ห้องพระ เจียงบอกต้องการให้บัวเรียนสูงๆเป็นเจ้าคนนายคน ไม่ใช่ นางเอกงิ้วต่ำต้อยให้คนดูถูก หลอแย้งว่างิ้วเป็นศิลปะชั้นสูง เป็นการแสดงศักดิ์สิทธิ์น่าภูมิใจที่บัวจะสืบทอด เจตนารมณ์และสืบทอดคณะเหลี่ยนฮัวได้ แต่เจียงกลับบอกว่าจะยกคณะให้ดำเกิง
“ไอ้หยา! เฮียก็รู้ว่าอาเกิ่งอีบ่มิไก๊ ไม่เอาไหน ขืนยกคณะเหลี่ยนฮัวให้อีดูแล ก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง จะเป็นลูกชาย หรือลูกสาวไม่สำคัญ ต่อให้เป็นคนอื่นแต่สามารถรักษาคณะเราไว้ได้ เฮียก็ควรยกให้คนนั้น อั๊วถามจริงๆเถอะ เฮียไม่คิดจะรักษาโรงงิ้วไว้แล้วเหรอ”
“วันเวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำไม่หวนย้อนกลับ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปหมดแล้วซินแส ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ไม่มีใครสนใจดูงิ้วอีกแล้ว อั๊วไม่อยากให้อาบัวต้องอดตาย อยู่ในโรงงิ้วจนๆนี่ ถ้างิ้วกำลังจะตาย ก็ให้มันตายไปพร้อมกับอั๊วนี่แหละ”
“มีคนกล่าวไว้ว่าชีวิตคนเรามันสั้น แต่ศิลปะนั้นยืนยาว อาบัวอีมีพรสวรรค์ด้านนี้ อีจะเป็นกำลังสำคัญสืบทอดงิ้วของเราต่อไปได้ ถ้าทิ้งไปน่าเสียดายแย่ เฮียคิดดีแล้วเหรอ”
“อั๊วตัดสินใจแล้วซินแส อั๊วไม่อยากให้อนาคตของอาบัวต้องมาจมปลักเหมือนอย่างอั๊ว”
“เฮียเจียง เฮียเป็นห่วงอนาคตของอาบัว หรือยังไม่ลืมอดีตของตัวเองกันแน่” หลอถามจี้ใจดำเจียง เจียง มองหน้าพูดไม่ออก หลอส่ายหน้าไม่ยอมรับการตัดสินใจของเจียง
ooooooo