ตอนที่ 12
เดือนดาราไม่ติดใจเรื่องสำลีขโมยเลือดจากหนานคำมาทำพิธี แต่อยากรู้มากกว่าว่าเกิดอะไรเมื่อคืนก่อน
“แล้วรู้หรือยังว่าฉันเป็นอะไร”
“มีวิญญาณบางอย่างมาลอบทำร้ายคุณหญิง”
“วิญญาณอะไรกัน ทำไมทำร้ายฉันได้ถึงเพียงนี้”
“วิญญาณอาฆาตขอรับ”
“วิญญาณอาฆาต มันมาจากไหน”
“กระผมยังหาตัวมันไม่พบ มันเป็นวิญญาณที่น่าจะมีฤทธิ์เดชสะสมแก่กล้าร้ายกาจจากแรงอาฆาตขอรับ”
สำลีตามหาวิญญาณอาฆาตปริศนาอย่างจริงจัง กระนั้นภารกิจมากมายที่เดือนดารามอบหมาย โดยเฉพาะเรื่องตามหาชายหนุ่มแห่งโชคชะตาก็ทำให้การตามหาเป็นไปอย่างยากลำบาก
เดือนดาราอดทนพาสามสาวลูกบุญธรรมออกงานอีกเกือบปีแต่สำลีก็ยังตามหาชายหนุ่มแห่งโชคชะตาไม่พบ
“เป็นปีแล้วนะที่เราตามหาคนคนนั้น เก๋ก็อายุย่างเข้ายี่สิบห้าแล้วนะลุง”
“ตามที่กระผมทำนาย เราใกล้พบเขาแล้วขอรับ พยายามต่อไป”
“ถ้าพยายามจนเก๋อายุเลยยี่สิบห้า ฉันคงขอตายไปอยู่เป็นวิญญาณอมตะกับคุณพี่”
“ลืมแล้วหรือขอรับว่าคุณหญิงจะไม่ตายแต่กลายเป็นคนร่างกายบิดเบี้ยวถ้าไม่ได้รับยา”
“บ้าจริง แล้วถ้าลุงมีอันเป็นไปช่วยฉันไม่ได้ ฉันมิต้องทนอยู่อย่างทุกข์ทรมานหรือ”
“อย่าคิดมาก กระผมจะไม่มีวันเป็นอะไรหรอกขอรับ”
“หมายความว่าลุงแตกต่างจากฉัน”
“เฉพาะตอนนี้ขอรับ ถ้าคุณหญิงได้เข้าพิธีแล้วคุณหญิงจะสวยไม่สร่างซาตลอดไปในร่างของคุณหนูเก๋”
“ร่างนังพลอยต่างหาก นี่แทนที่ฉันจะมีสุขกลับกลายเป็นทุกข์ แถมคล้ายเป็นทาสลุงสำลีไปแล้ว เพราะฉันสามารถอยู่ได้เพราะลุง ลุงคือเจ้าชีวิตชี้ทุกข์สุขของฉันได้”
“อย่าคิดมากสิขอรับ เตรียมตัวเข้ากรุงเทพฯไปงานเลี้ยงหน้ากากกันเถิดขอรับ”
“ช่วงนี้วิญญาณอาฆาตมันหายไป ลุงรู้หรือยังว่ามันคือใคร”
“ยังขอรับ มันคงหลบอยู่ในรีสอร์ตนี้ล่ะขอรับ”
ooooooo
เดือนดารากับสำลีหยุดคิดเรื่องตามหาวิญญาณอาฆาตปริศนาและเตรียมตัวไปร่วมงานการกุศลที่เดือนดาราเป็นตัวตั้งตัวตีจัดในฐานะประธานมูลนิธิเดือนดาราเพื่อสร้างโรงพยาบาลในชุมชน
วริศรา มารตีและพัชรีไปร่วมงานด้วยเหมือนเคย โดยมีสำลีคอยรับส่งและขอให้สามสาวเข้างานทีหลังเดือนดาราที่ต้องทำหน้าที่บนเวที
ตรินหรือเสริมในอดีตชาติมาร่วมงานกุศลนี้ด้วยและรับหน้าที่พิธีกรในงาน เดือนดาราตะลึงมากเมื่อเห็นหน้าเพราะเขาหน้าเหมือนเสริมน้องชายคนเดียวของแสงราวกับเป็นคนเดียวกัน!
สีหน้าตะลึงงันของเดือนดาราทำให้วิลาสินีกับชลิตหรือคุณหญิงตรึงตรากับท่านสิทธิ์ในอดีตชาติที่มาร่วมงานกับลูกชายนิ่วหน้า ตรินหรือเสริมก็รู้สึกไม่ต่างกัน กระทั่งเดือนดาราตั้งสติได้จึงกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ
เดือนดาราสวมบทบาทคุณหญิงใจบุญอย่างไร้ที่ติ เรียกเสียงชื่นชมจากแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ไม่เว้นแม้แต่ตรินหรือเสริมที่ประทับใจน้ำใจงามของเธอมาก
ตรินทำหน้าที่พิธีกรของตัวเองอย่างคล่องแคล่ว กระทั่งถึงเวลาประมูลงานชิ้นแรก แววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงเพราะสิ่งของชิ้นนั้นคือภาพวาดนางในฝันที่เขาหลงใหล
วิลาสินีนั่นเองเป็นตัวการนำภาพวาดเจ้าปัญหาที่ทำให้ลูกชายละเมอเพ้อพกไม่หยุดออกประมูล เดือนดารากับสำลีก็จำได้ว่าเป็นภาพวาดพลอยฝีมือเสริม สีหน้าตกใจไม่แพ้กัน
ตรินข่มความไม่พอใจและทำหน้าที่พิธีกรต่ออย่างน่าชื่นชม
“ภาพวาดชิ้นนี้มีชื่อที่ถูกตั้งไว้ว่าน้ำตานาง บริจาคโดยคุณชลิตและคุณวิลาสินี ศรีนครเวศน์ และจิตรกรผู้ที่วาดภาพนี้คือคุณเสริม ศรีนครเวศน์ ท่านคือญาติผู้ใหญ่ผู้จากไปนานมากแล้วถึงร้อยปีของตระกูลคุณชลิตครับ ขอความกรุณาเจ้าหน้าที่เปิดภาพน้ำตานางด้วยครับ”
เจ้าหน้าที่ทำตามหน้าที่ เดือนดาราอึ้งมากเมื่อเห็นภาพชัดๆ กระนั้นก็พยายามเก็บอาการ ตรินก็อาการไม่ต่างกันแต่ต้องระงับใจไม่ให้อาละวาดแม่
“ผมเข้าใจว่าหญิงงามในภาพคงเป็นผู้หญิงผู้เป็นที่รักของจิตรกรท่านนี้น่ะครับ ดูดีๆจะเห็นว่าเธอผู้นั้นสวยมาก สวยผสมเศร้าชวนให้จินตนาการว่าเธอเศร้าโศกด้วยเหตุใด”
ตรินเอ่ยถึงภาพวาดนี้พร้อมรอยยิ้มเศร้า เดือนดาราหลุดปากแดกดันเบาๆ
“คุณเสริมหลงรักมัน!”
ท่าทางแปลกๆของเดือนดาราทำให้ตรินสงสัย แต่ไม่ทันซักถามการประมูลก็เริ่ม ราคาภาพวาดเจ้าปัญหาพุ่งทะยานจากสองหมื่นบาทไปเป็นหลายแสนในเวลาอันสั้น แถมคนประมูลก็คือสำลีผู้ติดตามหรือผู้จัดการส่วนตัวของเดือนดารา วิลาสินีตะลึงมาก ไม่คิดเลยว่าภาพวาดเก่าๆของต้นตระกูลสามีจะมีคนสนใจอยากซื้อขนาดนี้
ooooooo
การประมูลดำเนินต่อ สำลีลอบสังเกตการณ์เงียบๆก่อนไปรอรับสามสาวลูกบุญธรรมของเดือนดาราเข้ามาในงาน ส่วนเดือนดาราเก็บความสงสัยเรื่องสำลีประมูลภาพวาดพลอยไว้ ปั้นหน้ายิ้มแย้มกับเสริมจนจบการประมูล
“คุณตรินมีอะไรจะพูดกับแขกผู้มีเกียรติของเราไหมคะ”
“ครับ ผมมีความยินดีและอิ่มเอมในงานวันนี้มากครับ โรงพยาบาลนี้เสร็จเมื่อไหร่ผมและเพื่อนสนิทอีกสองคนที่เป็นหมอเหมือนกันขอเสนอตัวเป็นแพทย์อาสาไปช่วยพี่น้องครับ”
เสียงปรบมือกึกก้อง ชื่นชมน้ำใจดีงามของตริน เดือนดาราก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น