อ่านนัยแฝง เอกสารหลุด “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ปมคัดค้านทำหน้าที่ของ บิ๊ก ป.ป.ช. พล.ต.อ.เอก วิเคราะห์ ....  

หลังจากถูก “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. เซ็นให้ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่นานนัก ก็มีเอกสารหลุด? เรื่องการ ขอคัดค้านการทำหน้าที่ของ “บิ๊ก” กรรมการ ป.ป.ช. คนหนึ่ง (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) โดยให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติ 

กระทั่งวันนี้ (22 เม.ย.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือ ที่ ป.ป.ช.ถึง นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช.  เพื่อร้องขอความเป็นธรรม หลังจากที่ตนเองถูกดำเนินคดี และเข้าสู่กระบวนการสอบสวนอย่างไม่เป็นธรรม นาน 6 เดือน จนถึงขั้นให้ออกจากราชการไว้ก่อน 

บิ๊กโจ๊ก กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ออกมาต่อสู้เพื่อตัวเอง เน้นคดีอาญาที่มีการดำเนินการโดยมิชอบ โดยจะไม่พูดว่าใครผิดใครถูก แต่มีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องกระบวนการดำเนินคดี... 

ตามกระบวนการตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นและส่งให้ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน โดยไม่ได้มีหน้าที่ในการสอบสวน หรือออกหมายเรียก หรือขอศาลออกหมายจับ ปรากฏว่าหลังจากนั้นพนักงานสอบสวนกลับมีการทยอยแบ่งสำนวนกันทำ ทั้งที่เป็นเส้นเงินเดียวกัน ผู้ต้องหากลุ่มเดียวกัน และเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต้องส่ง ป.ป.ช. ในคราวเดียวกัน และเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ตนมองว่าการสอบสวนของตำรวจ สน.เตาปูน ไม่เป็นธรรม

...

ในความผิดฐานฟอกเงินถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ป.ป.ช. สอบสวน ถ้าหากความเสียหายมูลค่าเกินกว่า 300 ล้านบาท ต้องเป็นอำนาจของ DSI โดยพนักงานสอบสวนจะต้องส่งสำนวนคดีพิเศษให้ DSI ภายใน 15 วัน แต่ทางพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน อ้างว่า ความเสียหายไม่ถึง 300 ล้านบาท แต่ภายหลังพบว่าสำนวนที่ส่งให้ ป.ป.ช. มีความเสียหายอยู่ที่ 490 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่าการที่พนักงานสอบสวน สอบสวนแทน ป.ป.ช. ไม่ได้หวังผลในเรื่องคดี แต่หวังผลไม่ให้ตนขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ซึ่งตนเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. อันดับที่ 1 แต่ถ้าหากตนเป็นอันดับที่ 6 คงไม่ถูกกระทำแบบนี้

“มองว่า มีการกลั่นแกล้ง และมีขบวนการแบ่งงานกันทำ และตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมา ได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมมาโดยตลอด แต่ภายหลังจากที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน (18 เม.ย.) 1 วัน หลังจากนั้น คณะพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้กับ ป.ป.ช. (19 เม.ย.) จึงมองว่า ถ้ามีการส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ตั้งแต่แรก ผมจะอยู่ในฐานะผู้บริสุทธิ์ จนกว่าคณะกรรมการจะชี้มูล และคดีจะเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งตามกฎหมายจะไม่สามารถแต่งตั้งหรือโยกย้ายตนได้...ถ้าสอบสวนอย่างเป็นธรรม แล้วผมผิดจริงผมออกเลย เพราะถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว” 

ส่วนเรื่องวินัยได้เตรียมต่อสู้โดยการร่างหนังสือถึงคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม...วันนี้ได้ยื่นเรื่องร้องเรียน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่มีคำสั่งให้ตนกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วให้ออกจากราชการ ทั้งที่ก่อนหน้ามีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ และอยู่ในกระบวนการสอบสวน 60 วัน และกล่าวหาหัวหน้าพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมด ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอำนาจ

นี่คือ เนื้อหาทั้งหมด ที่ “บิ๊กโจ๊ก” แถลงในวันนี้ ส่วนเรื่อง “เอกสารหลุด” บิ๊กโจ๊กพูดสั้นๆ ว่า สื่อคงจะได้กันแล้ว จึงขอไม่กล่าวถึง 

อ่านเกมต่อสู้ของ "บิ๊กโจ๊ก" 

สิ่งที่ “บิ๊กโจ๊ก” พยายามทำในวันนี้ และเอกสารที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ มี “นัย”อย่างไรบ้าง ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้พูดคุยกับ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ มองว่า ทั้งเรื่องเอกสารหลุดของ ป.ป.ช. และการแถลงของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในวันนี้ ขอแบ่งเป็น 2 เรื่อง 

1.เรื่องการดำเนินคดี ตอนนี้เอกสารทั้งหมดอยู่ที่ ป.ป.ช. รวมถึงเอกสารของ สน.เตาปูน ก็ส่งให้กับ ป.ป.ช. แล้ว ดังนั้น กระบวนการก็จะเป็นไปตามกฎหมายของ ป.ป.ช. กำหนดไว้ 

2.การคัดค้าน คณะกรรมการ ป.ป.ช. รายหนึ่ง เบื้องต้น ตนดูจากเนื้อหาข่าว ซึ่งเรื่องนี้ ป.ป.ช. ต้องพิจารณากันเองว่า คำคัดค้านของท่านรองสุรเชษฐ์ รับฟังได้หรือไม่ ซึ่งทั้งหมดจะเป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบขัอบังคับภายใน โดยต้องรอคณะกรรมการหยิบประเด็นเหล่านี้ไปวินิจฉัย 

“หากฟังขึ้น คณะกรรมการท่านนั้น ที่มีชื่อในหนังสือ ก็อาจจะไม่ได้พิจารณาตามที่ได้ร้องเรียน แต่สุดท้ายคงต้องให้ คณะ ป.ป.ช. ในการใช้ดุลยพินิจ” 

...

ส่วนคดีวินัย กระบวนการทั้งหมดเริ่มขึ้นแล้ว อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการ และ มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็จะไปยื่นคัดค้านคำสั่ง ทั้งประเด็นเรื่องการให้ออก ซึ่งมันถือเป็นขั้นตอน “พิทักษ์ระบบคุณธรรม” โดยทุกอย่างมีขั้นตอนภายใน 30 วัน ซึ่งก็ต้องรอผลการพิจารณา...

“เท่าที่ฟังสัมภาษณ์เหมือนว่าจะมีประเด็นที่ 3 คือ การร้องเรียนไปถึงนายกรัฐมนตรี ซึ่งกระบวนการทั้งหมด ทำให้เราเห็นภาพอย่างที่ไล่เรียงมา...โดยมีประเด็นถึงกรณี กล่าวหา “พนักงานสอบสวน” สน.เตาปูน ใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งระบบกฎหมายเรา คือ ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย”

พล.ต.อ.เอก กล่าวสรุปการแถลงข่าววันนี้ว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ท่านเองก็มีสิทธิที่ร้องเรียน ได้ คณะที่ “กระบวนการพิจารณา” ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับท่าน...

อ่านนัยแฝง เอกสารคัดค้าน กรรมการ ป.ป.ช. เชื่อไม่ได้หลุด 

เมื่อถามว่า มองเรื่องเอกสารหลุด? อย่างไร พล.ต.อ.เอก หัวเราะเล็กน้อย เชื่อว่า ไม่ได้หลุด เพียงแต่เมื่อมีการยื่นไปแล้ว มันก็จะเผยแพร่ทั่วไป ไม่ได้เป็นความลับ 

...

“นี่เป็นสิทธิของท่าน ที่ท่านจะตั้งข้อสังเกต “พฤติกรรม” หรือ “การกระทำ” ของ ป.ป.ช. ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเท็จจริงเป็นอย่างไร มีความไม่ชอบมาพากลหรือไม่ ซึ่งท่านก็ใช้สิทธิโต้แย้ง เหมือนกับการกรรมการ ที่สามารถเป็นคุณหรือให้โทษกับท่าน เหมือนก็ต้องให้โอกาสในการพิสูจน์ความจริง และเป็นหน้าที่ ของ ประธาน ป.ป.ช. ต้องมีคำตอบให้กับท่าน...”

ทีมข่าวถามว่า สิ่งที่อยู่ในหนังสือนั้น อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างตำรวจองค์กรตำรวจ กับ องค์กรอิสระ ได้หรือไม่ ประเด็นนี้ พล.ต.อ.เอก ซึ่งถือเป็น ก.ตร. ให้ความเห็นว่ายืนยันว่าสิ่งที่เห็นในเวลานี้ คือ การโต้แย้ง เรื่องการใช้อำนาจ คิดว่า ตัวเองก็มีอำนาจในการดำเนินการ อย่าง “พนักงานสอบสวน” ก็คิดว่า ตัวเองก็มีอำนาจ ขณะที่ท่านจะโต้แย้งว่า “ไม่มีอำนาจ” ก็ต้องมาว่ากัน...

ที่ผ่านมา ผมพูดตลอดว่า การที่ใครจะมีการโต้แย้งกันนั้น ก็สามารถใช้สิทธิกันได้ แต่สุดท้ายแล้ว ศาล จะเป็นผู้วินิจฉัย ชี้ขาด เหมือนกับตอนที่เราโต้เถียง เรื่องการออกหมายเรียก แล้ว ผู้ต้องหา มาหรือไม่ ผมบอกว่าสุดท้ายแล้ว ศาลออกหมายจับ ทุกอย่างมันก็จบ ท่านรองโจ๊ก ก็ไปขอประกัน 

“การโต้แย้งในอำนาจของพนักงานสอบสวน หรือ DSI (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) หรือ จะเป็นเรื่องของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. คนที่ท่านคัดค้าน สุดท้ายต้องนำไปสู่การพิจารณาตามหลักกฎหมายของประเทศ และต้องจบที่ศาลทั้งหมด นี่แหละคือ คำตอบ” 

มองว่าเป็น การ “ข่มขู่” ได้หรือไม่ เพราะเหมือนการแอ็กชันออกมาก่อน ก่อนที่ ป.ป.ช. จะดำเนินการอะไรออกมา พล.ต.อ.เอก ชี้ว่าเรื่องที่จะเป็นการข่มขู่ หรือไม่ หรือการที่รองสุรเชษฐ์ พูดว่าเป็นการ “เตะตัดขา” ท่าน ไม่ให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. 

...

“ความเห็นส่วนตัวผม คือ ใครจะคิด...พูดอะไร สามารถทำได้หมด แต่ “เรื่องจริง” จะเป็นอย่างนั้น หรือไม่ ก็ต้องพิสูจน์ เพียงแต่การพูดของแต่ละคน มีหลักฐาน อะไร และสุดท้ายจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ มันต้องมีคนกลางที่ยอมรับได้ หากพนักงานสอบสวนทำไม่ถูกต้อง ศาลก็ยกฟ้อง และ พนักงานสอบสวนก็ต้องรับโทษ ขณะเดียวกัน หากศาลตัดสินว่าผิดจริง ท่านรองสุรเชษฐ์ก็ต้องรับโทษไป" 

 

พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า การกล่าวหา ป.ป.ช. ท่านนั้น เท่าที่จำไม่ผิด คาดว่า ป.ป.ช. ท่านนั้นมีสาเหตุโกรธเคืองกัน ไม่พอใจกับเรื่องส่วนตัว ซึ่งจริงหรือไม่ ไม่มีใครทราบได้ เรื่องนี้ ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องพิจารณาว่า และ ฟังความจากทั้งสองด้าน นี่คือ หลักการที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ จะเป็นผู้พิจารณาตัดสิน 

“ที่ผ่านมา ตำรวจ ต้องประสานกับทุกฝ่าย ขอคำแนะทั้งอัยการ หรือ ป.ป.ช. ส่วนตัวมองว่า การประสานงานเหล่านี้ไม่มีข้อขัดแย้ง”

เห็นว่ามีชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในเอกสารด้วย  พล.ต.อ.เอก บอกว่า การอ้างอิง ถึงใคร ผู้ที่เกี่ยวข้องมีสิทธิที่จะอ้างอิงได้ ส่วนคณะกรรมการจะเชิญท่านมาสอบข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ถือเป็นเรื่องกระบวนการภายในของ ป.ป.ช. ส่วนตัว จนไม่ทราบกระบวนการ แต่ภาพรวมคือ จะพูดจะกล่าวอ้าง...สุดท้ายคือ ต้องพิสูจน์ 

ลักษณะแบบนี้ถือว่ามีการก้าวล่วงอำนาจแต่ละฝ่ายหรือไม่ พล.ต.อ.เอก ย้ำว่า เป็นการใช้สิทธิและโต้แย้ง เพราะท่าน สุรเชษฐ์ เป็นผู้ถูกกล่าวหา  

เรื่องนี้ต้องจบไปตามขั้นตอนตามกฎหมาย คดีอาญา ตำรวจ และ ป.ป.ช. ก็สอบสวนกันไป ส่วนคดีก็ต้องจบไปตามกระบวนการศาล 

ขณะที่ ด้าน “วินัย” ก็มีการก็มีการตั้งคณะกรรมการ ส่วนจะมีความเห็นอย่างไร ลงโทษหรือไม่ ก็มีกระบวนการที่ผู้ถูกกล่าวหาสามารถใช้สิทธิร้องทุกข์ได้ ถือว่าเป็นไปตามกฎหมาย และต้องจบในที่สุดตามกระบวนการ  ไม่ควรเป็นการ “เถียงกัน” ไปมา 

มลทินมัวหมอง กับ โอกาส รีเทิร์นของ “บิ๊กโจ๊ก”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีโอกาสในการกลับมาเป็นตำรวจ หรือ เข้าชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. หรือไม่ ในมุม พล.ต.อ.เอก ระบุว่า สุดท้ายมันอยู่ที่เงื่อนไข หาก “อาญา” และ “วินัย” ท่านไม่ผิด ท่านก็กลับได้ หากกลับกัน ทั้งวินัย และ อาญา ผิด ท่านก็กลับมาไม่ได้ ทุกอย่างก็มีเท่านี้

ส่วนเรื่อง “มลทินมัวหมอง” มันคือ “สเตปที่สอง” ซึ่งนี่ก็คือ กระบวนการในทางวินัย เพราะหากเป็นคดี “อาญา”ต้องมีหลักฐานชัดเจน ปราศจากข้อสงสัย แต่คดี “วินัย” ไม่ใช่ ไม่ต้องมีหลักฐานชัดเจน เพียงแต่ “ผู้บังคับบัญชา” จะพิจารณาว่า หากไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น มีส่วนผิด หรือ ผิดโดยอ้อม มันอาจดูมลทินหมัวหมอง ซึ่งขึ้นอยู่กับคณะกรรมการที่มีอำนาจจะสั่งการ....

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน 

อ่านบทความที่น่าสนใจ