ปิดฉาก 8 ปี การเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ พ.ร.ฎ.ยุบสภา ช่วงบ่ายวันที่ 20 มีนาคม 2566 โดยศึกเลือกตั้งครั้งนี้หากวิเคราะห์ตามโหราศาสตร์ พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคเพื่อไทย มีโอกาสกวาดคะแนนเสียงในระดับเท่ากันคือ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่การก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนถัดไป ต้องเผชิญกับดวงเมืองที่ร้อนแรงต่อจากนี้
ชนม์ทรรศน์ ฤทัยผ่อง หรือ ซินแสเข่ง ผู้อำนวยการสถาบันโหราศาสตร์พยากรณ์แห่งประเทศไทย กล่าวกับ ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า ทางโหราศาสตร์การยุบสภาวันที่ 20 มีนาคม 2566 เป็นผลดีต่อพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคภูมิใจไทย ส่วนพรรคที่ได้รับผลกระทบคือ พรรคประชาธิปัตย์ ด้านพรรคเพื่อไทย ไม่ได้รับผลกระทบจากการยุบสภาช่วงเวลานี้ แต่สิ่งที่น่าห่วงหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น มีความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าพรรคการเมืองจากฝั่งใดก้าวขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล
“ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง หากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่มีดวงเกื้อหนุนกับดวงเมือง จะประสบความสำเร็จได้ยากมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา”
...
ถ้าดูตามดวงผู้นำ พรรคพลังประชารัฐ การเลือกตั้งครั้งนี้มีโอกาสได้ขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีค่อนข้างยาก แต่โอกาสจะได้คะแนนเสียงมีประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์
พรรครวมไทยสร้างชาติ ตามพื้นดวงมีโอกาสได้คะแนนเสียงประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ดวงของผู้นำพรรคมีโอกาสเกื้อหนุนสู่ตำแหน่งสูงสุด
พรรคเพื่อไทย การเลือกตั้งในครั้งนี้มีโอกาสกวาดคะแนนเสียงประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังมีจุดอ่อนที่ผู้นำของพรรคยังมีเคราะห์ความขัดแย้งสูง
พรรคภูมิใจไทย หากดูตามโหราศาสตร์มีโอกาสได้คะแนนเสียงเป็นอันดับที่ 4 ด้านผู้นำของพรรคมีดวงชะตาต้องพึ่งพิงผู้อื่นอยู่ ดังนั้นอาจเป็นช่วงเวลาที่รวดเร็วเกินไปหากก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุด
พรรคประชาธิปัตย์ มีดวงเกิดความขัดแย้ง แตกแยกในพรรคค่อนข้างสูง ทำให้หัวหน้าพรรคเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ ทำให้ได้คะแนนเสียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ฐานะหัวหน้าพรรค ต้องมีแรงสนับสนุนจากอดีตหัวหน้าพรรคท่านอื่น เพื่อสร้างพลัง และฝ่ามรสุมภายในพรรคที่กำลังเผชิญไปให้ได้
พรรคก้าวไกล ตามหลักโหราศาสตร์ประเมินว่า กวาดคะแนนเสียงได้ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ อาจน้อยกว่าการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว
“สำหรับพรรคการเมืองที่อยู่คนละฝั่งมาตลอด การมารวมกันจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ค่อนข้างยาก เพราะมีตัวแปรที่ขัดแย้งกันค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันมีบุคคลของทั้งสองฝั่งตกดวงศัตรูกันอยู่ จึงเป็นเรื่องยากที่จะหันมาจับมือกันตั้งรัฐบาลผสม”
สำหรับดวงของผู้นำคนถัดไป พรรคการเมืองที่เป็นฝั่งรัฐบาลมีดวงจะได้จัดตั้งรัฐบาลต่อ แต่ถ้ามีการพลิกล็อกพรรคฝ่ายค้านก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาล อาจอยู่ในเก้าอี้ได้เพียง 1 ปี เนื่องจากดวงเมืองปี 2567 และ 2568 ค่อนข้างแรง มีสิทธิเกิดความขัดแย้งและปะทะกันค่อนข้างสูง
...
“ดวงเมืองที่มาปะทะกับปี พ.ศ. ที่ค่อนข้างรุนแรง ส่งผลทำให้ผู้นำที่มานั่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องเผชิญกับความขัดแย้งทั้งภายในรัฐบาลและภายนอก แม้ก่อนหน้านี้มีการประเมินว่า คุณอนุทิน ชาญวีรกูล จะกลายเป็นม้ามืดก้าวสู่ตำแหน่งขั้นสูงสุด แต่จะเจอมรสุมปัญหาการเมืองอย่างรุนแรง”
ดังนั้น นายกฯ คนถัดไปจำเป็นที่จะต้องเป็นคนดวงแข็ง มียศถาบรรดาศักดิ์ที่ช่วยเกื้อหนุนให้ฝ่ามรสุมดวงเมืองที่มีกำลังรุนแรง ให้ประเทศก้าวสู่ความยั่งยืนได้
สิ่งที่ทุกพรรคการเมืองต้องระวังในการเลือกตั้งครั้งนี้คือ บุคคลที่ 3 ที่ไม่ได้อยู่ในวงการการเมือง จะเป็นตัวแปรที่ชี้ชะตาคะแนนเสียงของบางพรรคการเมืองให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะดวงของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และจตุพร พรหมพันธุ์ ที่จะส่งผลอย่างมากในทางการเมือง.