โควิดระบาดระลอกแล้วระลอกเล่า กระทบผู้คนเป็นวงกว้าง หลายธุรกิจสารพัดอาชีพ อยู่ในจุดดำดิ่ง ทุกข์ระทม รอความหวังว่าให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ แค่เงินเยียวยา ยังไม่ทั่วถึงคนเดือดร้อนจริงๆ และอาชีพขายบริการทางเพศ หรือ “เซ็กซ์เวิร์กเกอร์” คงมีส่วนน้อยจะได้รับโอกาส เพราะถูกหลงลืมมานานก่อนวิกฤติโควิด กลายเป็นคนชายขอบ ไม่มีสวัสดิการขั้นพื้นฐานใดๆ หนำซ้ำยังถูกดูถูก ตีตราราวกับเป็นคนไม่ดี

ฟังจากคำพูดอันเจ็บปวดของ "แอนนา" หญิงข้ามเพศชาวจังหวัดเลย วัย 35 ปี ทำงานขายบริการในพัทยา มานาน 13 ปี เล่าว่า ตั้งแต่โควิดระบาดรอบแรก มีการสั่งปิดคลับบาร์ เมื่อ 18 มี.ค.2563 จากที่เคยแต่งตัวไปทำงาน และจู่ๆ ก็ปิดโดยไม่บอกล่วงหน้า ทำให้พนักงานไม่รู้จะไปทำอะไร มีหลายคนต้องกลับต่างจังหวัด หรือหางานทำในโรงงาน และโรงงานจะถามว่าเคยทำอะไรมา ก็สรุปว่าบุคคลนั้นถูกตีตราเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำ ไม่ได้รับโอกาสทำงาน

ส่วนเงินเยียวยา 5 พันบาท การที่จะได้มาต้องแข่งขันลงทะเบียน ทั้งๆ ที่ทุกคนควรได้เหมือนกัน เพราะต่างมีบัตรประชาชน เหตุผลใดจะต้องให้ลงทะเบียน ทำให้ตอนนั้นเครียดมากกับชีวิตจะทำอะไรต่อไป และทางมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ หรือ Swing ซึ่งเป็นกระบอกเสียงให้กับคนอาชีพนี้ ได้ให้การช่วยเหลือเพื่อให้อยู่รอดปลอดภัย

“ทำงานมานาน มองว่าอาชีพนี้ไม่ได้ทำกันง่ายๆ ต้องใช้สกิลทักษะกว่าจะได้เงิน สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ แต่ด้วยเป็นเงินร้อน ก็ใช้เร็ว คิดว่าอีกวันก็ได้เงิน เมื่อเกิดโควิดตั้งรับไม่ทัน กระทั่งเจอระลอก 2 ระลอก 3 จนไม่ไหวแล้ว เพราะล็อกดาวน์ตอนกลางคืน ไม่ล็อกตอนกลางวัน จนตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เงินเยียวก็ไม่มี ได้แต่คนละครึ่งเท่านั้น

...

หรือจะออกมากี่ตัวก็ต้องแย่งกัน เป็นความไม่เท่าเทียมในมนุษย์ แต่โชคดีทำงานด่านหน้าให้กับมูลนิธิ Swing ในการรณรงค์เรื่องเอชไอวี จึงได้ฉีดวัคซีนครบ 2 โดส และเงินเยียวยาประกันสังคม แต่คนอื่นไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในระบบ เวลาเกิดปัญหาทะเลาะวิวาท กลับถูกโดนจับแม้จะเป็นฝ่ายถูก เพราะทำอาชีพผิดกฎหมาย”

ถามหาความเท่าเทียม ไม่มีสวัสดิการใดๆ จากรัฐ

แอนนา ในฐานะกระบอกเสียงของคนทำอาชีพขายบริการทางเพศ บอกว่าคนเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ บางคนไม่รู้เรื่อง ถ้าเจ็บป่วยต้องดูแลตัวเอง ถามว่าความเท่าเทียมมันอยู่ไหน เพราะคนมีสีมีส่วนได้เสียกับธุรกิจนี้กับคำว่าส่วย จึงทำให้ถูกต้องไม่ได้ ตราบใดข้าราชการยังทำตัวเป็นโจร ตรงข้ามกับหลายประเทศทำให้อาชีพนี้ถูกกฎหมาย นำภาษีมาพัฒนาประเทศ

พร้อมกับตั้งคำถามว่า ที่ผ่านมามีต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยเพราะอะไรเป็นที่รู้กัน ทำให้ประเทศมีรายได้จากคนอาชีพนี้ แต่ไม่มีการเยียวยา กลับถูกตีออกไปชายขอบ เมื่อไปขอความช่วยเหลือ กลับถูกเพิกเฉยและสักพักเรื่องก็เงียบ ซึ่งเคยเรียกร้องในช่วงโควิดระบาดระลอกแรกขอให้เยียวยาพนักงานบริการ ไม่ใช่เฉพาะอาชีพขายบริการทางเพศที่ให้ความสุขทางเพศ ยังมีนางโชว์ พนักงานเสิร์ฟในผับบาร์ แต่ทุกวันนี้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ ไม่เคยดูแล ไม่ลงมาพื้นที่ จนหลายคนเครียด เกือบทำร้ายตัวเอง ก็ต้องเข้าไปให้กำลังใจ

ในอดีตเคยมีรายได้เดือนละ 1 แสนกว่าบาท นำไปลงทุนกับร่างกาย ทำศัลยกรรม เหมือนตกแต่งร้านให้สวยงามเพื่อดึงดูดลูกค้า จนมาเจอโควิดรอบแรกก็หนักอยู่แล้ว พอมารอบ 2 จากความเห็นแก่ตัวของคนไม่กี่คน ลักลอบนำแรงงานเถื่อนเข้ามา มีการระบาดในสมุทรสาคร ทำให้เริ่มคิดว่าระลอก 3 ต้องมาแน่ นำไปสู่การสั่งปิดผับบาร์ แต่ให้เปิดห้าง อยากถามว่าคนทำงานกลางคืนผิดตรงไหน หรือไม่ใช่คน เป็นความเหลื่อมล้ำที่เห็นได้ชัด

ผลกระทบที่เกิดขึ้นตอนนี้มีแต่เงินออก แม้จะยังพออยู่ได้แต่ต้องดูแลครอบครัวในต่างจังหวัด เป็นเกษตรกรทำสวนยางพารา ซึ่งรายได้ไม่ดีเพราะราคาตกต่ำ ยิ่งขณะนี้พ่อแม่เริ่มแก่ชรา ด้วยความที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ไม่สามารถทำงานได้เพราะสถานการณ์บังคับ จากเคยให้เงินเดือนละ 2-3 หมื่นบาท ต้องบอกให้ที่บ้านรับรู้ไม่เคยปิดบัง และขอเงินจากที่บ้านบ้าง แตกต่างกับบางคนไม่กล้าบอก เพราะกลัวคนในหมู่บ้านตีตราว่าเป็น "คุณโส"

อีกทั้งการเป็น "สาวสอง" การไปสมัครทำงานอื่นไม่ได้ ถูกมองว่าเป็น "กะเทย" จะทำงานไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วกลุ่ม LGBT ทำงานได้ดีกว่า แต่สุดท้ายถูกตีตราว่าเป็นกะเทยชอบเต้นกินรำกิน

...

อาชีพถูกลืม เคยโกยเงินฝรั่งสร้างรายได้ให้ประเทศ

ส่วนเพื่อนๆ ร่วมอาชีพ กว่าจะได้ลูกค้านั้นแทบไม่มี หรือ 10 คน จะได้ลูกค้า 1 คน ซึ่งทุกวันนี้ได้ค่าตัว 200-300 บาท ก็ไปแล้ว และไปต่อแถวรอรับของแจก อาศัยที่นอนตามชายหาดแบบหลบๆ ซ่อนๆ หรือไปนอนตามผับบาร์ที่ถูกปิด เพราะออกต่างจังหวัดไม่ได้ ต้องกักตัวเพราะมาจากพื้นที่เสี่ยง และคนในสังคมต่างจังหวัดอาจมีมุมมองความคิดที่ต่างกันในการยอมรับคนอาชีพนี้

แอนนา เล่าอีกว่า เพื่อความอยู่รอดได้ช่วยเพื่อนขายของออนไลน์ นอกเหนือจากช่วยงานมูลนิธิในการช่วยคนเดือดร้อนให้พออยู่ได้ แต่หลายคนอยู่ไม่ได้ จากข้อจำกัดด้านวุฒิการศึกษา และอาชีพที่ทำถูกตีตรา โดยมีประมาณ 80-90% ในพัทยาที่เดือดร้อน เพราะฝรั่งมาไม่ได้ ซึ่งการระบาดของโควิดสอนให้รู้ถึงการใช้ชีวิต จากการใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย สอนให้รู้ถึงคุณค่าของเงิน

“ยังดีแค่ไหนที่กินอิ่มนอนหลับ ดีกว่าคนอื่นๆ ถือว่าโชคดีมากที่ Swing ดึงมาช่วยงาน หากสถานการณ์ดีขึ้น จะกลับไปทำงานเหมือนเดิม แม้ตอนนี้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเวลามีเงินก็ซื้อของ สร้างรายได้ให้กับประเทศ เมื่อเจอผลกระทบโควิด กลับไม่ได้รับการดูแล เป็นอาชีพที่ถูกลืมจริงๆ เวลาเจ็บป่วย บางคนติดโควิดโทรไปขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลรัฐ โดนปฏิเสธตลอด หากขอพรได้อยากให้รัฐบาลชุดนี้ออกไป และขอให้โรคนี้หายไป กลับมาเป็นปกติ” ประโยคทิ้งท้ายของแอนนา

ความภูมิใจของสาวขายบริการ ก่อนเจอโควิดถล่ม

ในอีกุมมหนึ่งของเมืองพัทยา บริเวณชายหาดที่ทอดยาวยังมีสาวให้บริการทางเพศ ได้รับผลกระทบจากโควิดอย่างสาหัสไม่แพ้กัน จากเสียงสะท้อนของ "ดอกดาว" ชาวปทุมธานี วัย 42 ปี เธอบอกว่า ก่อนโควิดระบาดก็แย่อยู่แล้ว เมื่อเกิดโควิดระลอกแรก ยังพอมีลูกค้าตกค้างอยู่บ้าง จนมาระลอก 2 ยิ่งหนัก กระทั่งระลอก 3 เงียบมากไม่มีคน ก็ได้มูลนิธิ Swing มาช่วย และได้เงินเยียวยา 5 พันในรอบแรก เพราะใส่อาชีพรับจ้างทั่วไปเข้าไปลงทะเบียน

...

แม้เธอจะยอมรับว่าเป็นอาชีพสีเทาไม่ถูกกฎหมาย แต่ไม่ร้ายแรงในมุมมองของต่างชาติ ยกเว้นคนไทยจะมองอาชีพนี้ไปอีกแบบ โดยระยะเวลา 22 ปี อยู่ในเส้นทางนี้ตั้งแต่อายุ 19-20 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวพบกับความสำเร็จและล้มเหลวในชีวิต แต่เมื่อมาเจอกับโควิด ทำให้วันนี้เศร้ามากและเหงามาก เคยถูกตั้งคำถามทำไมไม่ทำอาชีพอย่างอื่น ต้องขอตอบว่า เพราะเรียนมาน้อย โง่เขลาเบาปัญญา ยังดีที่พูดภาษาอังกฤษได้ แต่อ่านไม่ออก แต่เข้าใจว่าเคยหาเงินได้มากกว่าคนจบปริญญา

“สิ่งที่พูดไม่ได้เปรียบเทียบกับใคร แต่ก็โอเคกับชีวิต มีความภูมิใจ เพราะเป็นเสาหลักของครอบครัว ส่งน้องสาวเรียน ส่งลูกๆ เรียน จนคนโตจบปริญญาตรี ลูกคนที่สองจนอนุปริญญา ส่วนอีกสามคนกำลังเรียน ทุกอย่างต้องเดินไปด้วยเงินทั้งนั้น สามารถซื้อบ้าน 2 คูหา ราคา 1 ล้านกว่าบาท เมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีเงินไหลมาเทมาจากอัตราที่เรากำหนดเองว่าจะเอาแค่นี้ หาเงินได้มากช่วงไฮซีซั่น ก่อนเศรษฐกิจตกต่ำและโควิดระบาด”

เมื่อโควิดระบาด ได้เงินจากกองทุนมูลนิธิ Swing มาขายก๋วยเตี๋ยว ส่งไปอบรมรายรับ-รายจ่าย แต่มาเจอล็อกดาวน์ เพราะคนพัทยามีชีวิตกลางคืน ทำได้แค่ 2 วัน ไปไม่ได้เลย ลงทุนซื้อของมา 500 บาท ติดลบหมด แค่น้ำซุปก๋วยเตี๋ยวก็ตกวันละ 80 บาท วันหนึ่งขายได้ 2 ชาม และค่าเช่าแม้ลดจาก 100 บาทเหลือ 50 บาท ยังอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะอาชีพเซ็กซ์เวิร์กเกอร์ที่ได้รับผลกระทบ ร้านอาหารกระทบไปหมด แต่อยากจะสู้ใหม่ ถ้ามีกำลังจะไปต่อ

...

ไม่กลัวโควิด ยอมถูกกดราคา ดีกว่าอดตาย คาหาด

ผลกระทบที่เกิดขึ้นต้องขอเงินลูกบ้าง เพราะมีภาระจ่ายค่าเช่าบ้าน 2-3 พันบาท และจะตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินในการเป็นเซ็กซ์เวิร์กเกอร์ต่อไป แม้ลูกจะเรียนจบจากน้ำพักน้ำแรงของเธอ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายชีวิต ถามว่าลูกรู้หรือไม่ที่แม่ทำอาชีพนี้ คิดว่าตอนลูกเป็นเด็กยังไม่รู้ แต่ตอนโตอาจรู้ และไม่สนใจ

เมื่อโควิดระบาด ต่างชาติมาไม่ได้ก็ต้องอยู่นิ่งๆ ไม่ใช้จ่าย เปลี่ยนจากลูกค้าต่างชาติมาเป็นคนไทยก็ได้ แต่แทบไม่มีคน เพราะไม่มีกำลังซื้อเหมือนก๋วยเตี๋ยวยังขายยาก ลดค่าตัวแล้วจาก 700 บาท รวมเบ็ดเสร็จกับค่าโรงแรม 500 บาท ยังไม่มีลูกค้า ทำให้การจับแขกบริเวณชายหาดหยุดชะงัก หรือถ้าไปก็โดนไล่จากเจ้าหน้าที่

“เมื่อก่อนทำงานเต็มวัน หรือกลับเช้า เดินหาดแป๊บเดียวได้ลูกค้า ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวขายเนื้อหนังมังสาสร้างจุดขาย แต่ตอนนี้ไม่ได้เลย จะกลับบ้านก็ไม่มีอะไรทำ เพราะชีวิตอยู่พัทยามานาน ไม่อยากเป็นภาระลูก หากมีพละกำลังก็ไปชายหาด คอยหลบเจ้าหน้าที่ที่ไล่จับ ออกมาห้าม และเพื่อนๆ กลายเป็นคนเร่ร่อน เพราะติดเงินค่าเช่าบ้าน มีเสื่อผืนหมอนใบมานอนชายหาด หนีเจ้าหน้าที่ ต่างคิดว่าพัทยาคงจะกลับมาดี หลายคนกลัวอดตาย มากกว่ากลัวโควิด ยอมถูกกดราคา เพื่อความอยู่รอด”

อาชีพไม่มีใครมองเห็น ขอพึ่งตัวเอง ดีกว่ารอรัฐบาล

ส่วนการจะให้เจ้าหน้าที่รัฐมาช่วยเหลือ ไม่เคยคาดหวัง เพราะอาชีพนี้ไม่มีใครมองเห็น ถูกมองเป็นพวกรากที่อยู่ในโคลน คงไม่มีใครเอามือมาคลำหา อยากจะมีสิทธิ์มีเสียงในสังคม ไม่สามารถพูดอะไรได้มาก หรือคนทำอาชีพเดียวกันอาจคิดไม่เหมือนกัน แต่สำหรับตัวเธออยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ขนาดมีบ้านมีทุกอย่างครบ ยังอยากขายก๋วยเตี๋ยว และไม่ทิ้งอาชีพเซ็กซ์เวิร์กเกอร์ ไม่สนว่าคนในสังคมจะคิดอย่างไร คิดว่ามีทั้งคนคิดลบและบวก แต่อยากทำดีที่สุด ไม่คิดปลดระวาง หวังมาตลอดว่าไทยจะเปิดประเทศ และปีหน้าน่าจะดีขึ้น

“ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นแบบนี้ เคยมีสามีเป็นคนญี่ปุ่น เยอรมัน อังกฤษ ได้เงินอาทิตย์ละ 4-5 หมื่นบาท น่าจะเก็บเงินไว้เยอะๆ ตอนนั้นรุ่งเรืองมาก มีธุรกิจรถเช่า เคยเปิดร้านอาหารในซอยนานา กรุงเทพฯ แต่ไม่เคยทิ้งอาชีพนี้ แม้ตอนนี้ก็จะไป เพราะทำงานครึ่งชั่วโมงก็ได้เงิน ไม่คาดหวังจากใคร ขอพึ่งตัวเองดีกว่า หากคอยรัฐบาลคงอดตายแน่ เมื่อฉันหิวข้าวคงต้องรอ 3 วันกว่าจะอนุมัติ ยิ่งไม่รู้หนังสือยิ่งแย่ และที่ได้ 5 พัน เพราะลูกลงทะเบียนให้ ถ้าไม่ล็อกดาวน์อย่างน้อยวันหนึ่งก็ได้ 500 บาท แต่วันนี้ตื่นมา ยังไม่รู้จะได้ลูกค้าหรือไม่”

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ได้สิทธิ์ใดๆ เหมือนคนอาชีพอื่นในสังคม แต่การขายเรือนร่างที่ถูกมองว่าผิดทุกอย่าง ได้สร้างความภูมิใจให้กับเธอ สามารถส่งเสียลูกเรียนจนจบ ทำให้ทุกคนในครอบครัวมีความสบาย แม้วันนี้ไม่เหมือนเดิม แต่ยังรักในอาชีพให้ความสุขทางเพศ ทำทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ ตื่นตี 5 ออกไปชายหาด จนถึง 7 โมง ก็กลับเข้าที่พัก ไม่เคยหวังพึ่งรัฐ หวังแต่เพียงให้พัทยากลับมาคึกคักดังเดิม.