คุยกับแม่นุ้ย ติ๊กต่อกเกอร์ แม่นุ้ยหุ่นแซ่บลูกสอง กับวิถีการปลูกผักสลัด ไฮโดรโปนิกส์ เผยเส้นทางชีวิตพลิกผันจนสุดกินมาม่ากับไข่ต้ม รวยสุดอู้ฟู่ซื้อบ้านรถ สู่การสร้างหนี้นับสิบล้าน สุดทางกลับมาหาทางรอดด้วยเกษตร...

ในชีวิตคุณ เปลี่ยนอาชีพมาแล้วกี่ครั้ง...

และคุณกล้าไหม ที่จะเปลี่ยนอาชีพ ในตอนที่วิกฤติที่สุดของชีวิต เป็นหนี้นับสิบล้าน! บัตรเครดิตเต็มทุกใบ มีเงินจ่ายได้แค่ “ขั้นต่ำ” ของบัตร

นี่คือเส้นทางชีวิตของผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง ที่ชื่อ “นุ้ย กนกวรรณ สุทธิอาจ เจ้าของฟาร์มฮัก ผักอารมณ์ดี ใน จ.สกลนคร เจ้าช่อง TikTok “แม่นุ้ยหุ่นแซ่บลูกสอง” ติ๊กต่อกเกอร์ ที่แบ่งปันความรู้ด้านการปลูกพืชแบบ ไฮโดรโปรนิกส์ (Hydroponics) ที่วันนี้เริ่มมีรายได้เข้าเดือนละเกือบ 7 หลัก

ชีวิตที่พลิกผันของ “นุ้ย”  

คุณนุ้ย กนกวรรณ เล่าให้ทีมข่าวฯ ฟังว่า ด้วยที่เป็นเด็กกิจกรรมตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ดังนั้น เมื่อเรียนจบ ครูก็ชวนมาทำงานในมหาลัย ชีวิตการทำงานจึงเริ่มต้นตั้งแต่ตรงนั้น...เพื่อนเป็นอยากเป็นครู แต่เราเรียนที่ราชมงคล สายอังกฤษสื่อสาร ซึ่งเป็นสายงานโรงแรม แต่ด้วยที่เป็นสังคมต่างจังหวัด ทางครอบครัวเลยส่งเสริมให้ทำงานราชการ ตอนนั้น ก็เลยตัดสินใจเรียนต่อโท สายบริหารการศึกษา หวังเอาวุฒิการศึกษาไปเทียบโอนทำงานราชการ แต่เมื่อเรียนจบ พ่อก็ทักว่า หากทำงานที่สกลนคร เงินเดือนก็อาจจะได้แค่หมื่นนิดๆ โอกาสเติบโตในการทำงานยาก จึงแนะนำให้ไปทำงานกับญาติที่ระยอง

กนกวรรณ เล่าว่าเธอได้ย้ายไปทำงานที่ระยอง โดยใช้ภาษาอังกฤษที่โดดเด่นของตนเอง ทำงานเป็นเลขา คอยประสานงานกับเจ้านายที่เป็นชาวเกาหลีฯ ตอนนั้นเงินเดือนเยอะมาก เรียกว่า 2 คน กับแฟน ที่ทำงานที่ระยองเหมือนกัน ได้เงินเดือนรวมกัน 75,000 บาท

...

เงินเยอะ...ใช้เยอะ รูดบัตรเครดิตเต็ม 12 ใบ

เจ้าของฟาร์มฮัก ผักอารมณ์ดี ยอมรับว่า ตอนนั้น ใช้ชีวิตด้วยความผิดพลาด มีบัตรเครดิต 12 ใบ รูดเต็มทุกใบ ด้วยความไว้ใจเพื่อนและความโลภของตนเอง เอาเงินไปปล่อยกู้ จึงกลายเป็นหนี้หัวโต

“เงินที่ได้มา ก็นำมาจ่ายแค่ “ขั้นต่ำ” บัตรเครดิต ต้องเสียดอกเบี้ยมากมาย จะปิดหรือโปะให้จบก็ทำไม่ได้ เพราะเราไม่มีเงินก้อน”

หนทางที่เธอพยายามหา ก็ทำให้ไปรู้จักอาชีพขายตรง เห็นเพื่อนชีวิตดี ได้เที่ยวต่างประเทศ เราไม่มีเงินอยู่แล้วก็หาเงินไปลงทุนอีก ตอนนั้นไปทำงานแบบพาร์ตไทม์ สิ่งที่ได้ คือ เขาพยายามสอนเราขาย เทคนิคการโพสต์ขายของ รายได้เริ่มดี ก็เลยขอให้นาย (เจ้านายเกาหลี) ยุติสัญญาจ้าง เพราะจะได้เงินก้อนบางส่วนมาใช้หนี้ ซึ่งลักษณะการทำงาน เป็นแบบไซต์งาน แบบ “สัญญาเปิด” เมื่องานจบก็ต้องหางานใหม่...  ฉะนั้น ลักษณะงานก็ไม่ได้มั่นคงอยู่แล้ว เมื่อเราขออยู่หลายครั้ง สุดท้ายเจ้านายก็ยอม

แม่นุ้ยหุ่นแซ่บลูกสอง บอกว่า จากที่เคยต้องเข้ากรุงเทพฯ 2 สัปดาห์ครั้ง เมื่อลาออก ก็มาทำงานในกรุงเทพฯ และมาเรียนขายตรงอย่างเดียว

“ทำงานที่ระยอง งานไม่หนัก นั่งหาวนอน ได้โอทีก็ไม่อยากทำ เพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่ตื่นเต้น เพราะปกติเป็นคนไม่ชอบอยู่เฉย แต่เมื่อเราลาออก มาทำงานขายตรงแบบเต็มเวลา ปรากฏว่า สิ่งที่เจอคือ เขาไม่เน้นขายของ แต่เน้นเรื่องการ สร้างสมาชิก เราเองในฐานะที่เพิ่งเริ่มต้น ยังไม่มีผลลัพธ์อะไรเลย แล้วเราจะชวนคนมาเป็นมาเป็นสมาชิกได้อย่างไร ปรากฏว่า แต่ละเดือน ได้ค่าคอมฯ 2,000 บาท แล้วจะชวนคนมาลงทุนบอก จะมีบ้าน มีรถ ได้ไง ในเมื่อเรายังไม่มี”

จากจุดต่ำสุด สู่จุดสูงสุด เงินหมุน 3-5 ล้าน ซื้อบ้าน ซื้อรถ

คุณนุ้ย เห็นดังนั้น จึงรู้สึกว่าไม่ใช่ทางของตัวเอง แต่เมื่อหันไปมองคนในบริษัท เห็นพนักงานแพ็กของมากมาย แต่ทำไมคนอื่นเขาขายได้ ซึ่งถึงแม้จะมีสินค้าขาย แต่บริษัทขายตรง เขามักพูดว่า การ “หาคน” คือ Passive Income เมื่อเห็นดังนั้น จึงให้แฟน ไปสอบถามเทคนิคการขายกับอีกทีมหนึ่ง

“เราทนแทบไม่ไหวแล้ว ตอนนั้นเรียกว่าเงินไม่เหลือเลย เวลากินข้าว คือ กินมาม่าทุกวัน กับไข่ต้ม 2 ฟอง มองตัวเองเวลานั้น มันชีวิตน่าสงสารมาก (ลากเสียง) จากเงินเดือน 2 คน 75,000 บาท แต่ตอนนี้คือทำอะไรอยู่...?”นุ้ย ตั้งคำถาม

...

เธอเล่าต่อว่า เมื่อแฟนไปเรียนรู้วิธียิงโฆษณาขายของ พอเมื่อรู้เทคนิคการยิง ก็เริ่มมีรายได้มากขึ้น จากที่ยิง AD วันละหลักร้อยบาท สู่หลักพัน หลักหมื่น เรากลายเป็นตัวแทนสินค้าสกินแคร์ ซึ่งถือเป็นการพลิกวิกฤติ เพราะเราขายได้ดีมากๆ กลายเป็นจุดสูงสุดของชีวิต เรียกว่า มีเงินหมุนเวียน 3-5 ล้านบาท

หลังจากนั้น เธอก็ซื้อบ้าน ซื้อรถ กระทั่งเข้าสู่จุดอิ่มตัว และอยากจะกลับมาที่บ้านเกิด ถึงแม้จะซื้อบ้านหลังใหญ่ แต่ข้างบ้านก็เป็นคนไม่รู้จัก ไม่ใช่ญาติ และมองว่าการทำธุรกิจขายตรง ก็สามารถขายได้ หากอยู่ต่างจังหวัด เพราะเริ่มมีระบบเก็บเงินปลายทางได้แล้ว

กลับมาแรกๆ สินค้าของเราก็ยังขายดีเหมือนเดิม กระทั่ง เจอโควิด-19 ระลอก 1 ระลอก 2 เข้าสู่ระลอกที่ 3

จุดสูงสุด ลงสู่จุดต่ำสุด (อีกครั้ง) ปัญหาประดังเข้ามา พร้อมหนี้หลัก 10 ล้าน

นางกนกวรรณ เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ช่วงนั้นถือเป็นจุดยากลำบากในชีวิต เจอโควิด ขายของไม่ได้ พ่อมาป่วยหนัก ลูกป่วยบ่อย ต้องดูแลทั้งพ่อและลูก สลับๆ พากันไปหาหมอที่โรงพยาบาล

“จากเงินที่มีหมุนเวียนตลอด ตอนนั้นคือติดลบ นับสิบล้านบาท บ้านและรถที่ซื้อไว้เริ่มผ่อนไม่ไหว โดยต้องผ่อนเดือนละกว่า 5 หมื่น (บ้านและรถ) ยังมีบัตรเครดิตอีก..”

...

ทีมข่าวฯ ถามว่า ช่วงที่เรามีเงินมากมาย ทำไมเราไม่ซื้อบ้าน จ่ายค่ารถให้จบ นุ้ย ยอมรับว่า นี่เป็นหนึ่งในเรื่องความผิดพลาดในอดีต ส่วนหนึ่งเพราะเวลานั้นทำธุรกิจเงินสด จำเป็นต้องใช้เงินหมุนเวียนด้วย มันจึงเป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งพอถึงเวลานี้ กลายเป็นว่า หนี้ทุกอย่างมันประดังเข้ามา รวมหนี้บัตรเครดิตด้วย

“ตอนยังไม่มีบ้าน เราเช่าเดือนละ 1.5 หมื่น พอเริ่มมีเงิน อยากได้บ้านเดี่ยว ก็ไปดาวน์ไว้ 2 หมื่น และกู้แบงก์ คิดว่าหากไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร แต่ทีนี้คือผ่าน เพราะสเตทเมนต์ตอนนั้นเราเงินดี ความอยาก...ของเรา เราก็ได้ซื้อ พอได้บ้าน อีก 6 เดือน ก็อยากได้รถ ก็ไปซื้ออีก กระทั่งกลับมาบ้าน และธุรกิจเริ่มดาวน์ลง แต่ตัวเองก็คิดว่ายังไปต่อได้ หลอกตัวเอง ทั้งที่ตัวเองก็ทำบัญชี เห็นตัวเลขมาตลอด”

เจ้าของสวนผักอารมณ์ดี บอกว่า เวลานั้นเครียด แต่ยังไง เราก็ต้องช่วยชีวิตพ่อให้ได้ก่อน พ่อก็ให้กำลังใจให้สู้ บอกว่า “หากเราทำไม่หยุด วันหนึ่งจะเป็นวันของเรา”

จุดเริ่มต้น ปลูกผัก เปลี่ยนชีวิต เดินหน้าปลดหนี้ 

ช่วงชีวิตที่วิกฤติมากๆ เวลานั้น นุ้ยเองมีความเครียด มีลูกอ่อน แฟนจึงนำอาหารสุขภาพมาให้ เราเห็นว่า ญาติเราก็ปลูกผักสลัดแบบนี้อยู่นะ แต่แค่ไม่ได้ขายออนไลน์ เราจึงคุยกับแฟนว่า “ปลูกผักกินเอง” ไหม

“ด้วยที่เรายังพอมีตัวตนในการขายของ เราจึงคิดปลูกผัก ทำเป็นเซตอาหารสุขภาพขาย ด้วยการปลูกผักด้วยตัวเอง โดยก่อนที่จะเริ่มทำ เราก็ไปเรียนรู้การปลูกผักกับญาติ ซึ่งเขาก็บอกว่า ขายได้นะ อย่างน้อยเดือนละหมื่น...”

นุ้ยหันไปมองหน้าแฟน และคิดว่าตัวเองเป็นหนี้หลัก 10 ล้าน จะไหวไหม...?

“เราต้องหาเงินให้ได้หลักแสนบาทต่อเดือน ไม่ใช่หลักหมื่น...ไปต่อหรือพอแค่นี้”

...

เมื่อกลับมาบ้าน ก็ลองเริ่มปลูกผักในถาดก่อน ปลูกได้ 3 วัน มันก็เริ่มแตก เริ่มโต เราจึงเริ่มประคบประหงม เห็นมันงอกเราก็ดีใจ เอาผักมาให้พ่อดู...พ่อบอกว่า สิ้นเดือนนี้จะเอาเงินมาให้แสนหนึ่ง เพราะพ่อจะได้เงินเกษียณอายุราชการ แต่ปรากฏว่าไม่ทัน พ่อเสียชีวิตก่อนเกษียณ 1 วัน

ตอนแรกยังไม่มีเงินทำโรงเรือน ก็ให้แฟน กับเพื่อนแฟนมาช่วยๆ กันทำขึ้นมา หลังจากพ่อเสียอีก 15 วัน ผักก็เริ่มโตและเก็บขายได้ ซึ่งเราไม่ต้องไปขายที่ไหนเลย เพื่อนๆ ที่เขาเห็นเราโพสต์การปลูกพืชตั้งแต่วันแรก เขามารับซื้อไปหมด สิ่งที่เสียใจอย่างหนึ่งคือ ความรู้สึกที่พ่อเสียชีวิตไปก่อน ก่อนที่ผักเราโต “พ่อไม่รอนุ้ยเลย...”

“หลังจากขายได้ เราก็เริ่มขยายแปลงมากขึ้น โดยผักที่ปลูก อาทิ กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค กรีนคอส  ฟิลเลย์ บัตเตอร์เฮด เราปลูกแบบนี้ ก็ขายได้สัปดาห์ละ 5,000-6,000 บาท โดยเราวางแผนการปลูก เพื่อมีผักขายทุกสัปดาห์”

นุ้ย บอกว่า การขายผักตรงนี้ทำให้เธอรู้สึกมีความสุข ไม่เหนื่อย อาศัยความเป็นแม่ค้าออนไลน์มาก่อน เมื่อขายได้สักพัก ก็มีพาร์ตเนอร์เข้ามา เริ่มขายชุดทดลองปลูกผัก กระทั่งเข้าสู่เดือนที่ 7 ของการปลูกผัก รายได้ของเราก็เพิ่มขึ้นทะยานสู่ 7 หลักเลย จากการขาย “เซตทดลองปลูก” ในขณะที่การขายผัก เดือนหนึ่งก็หลักหมื่นบาท 2-3 หมื่น ไม่เกิน 50,000 บาท”

นางกนกวรรณ เล่าว่า การปลูกพืช ไฮโดรโปนิสก์ นั้น เรียกว่าเป็นการปลูกพืชปลอดภัย สามารถของ GAP ส่วนวิธีการปลูก เราเลือกปลูกแบบน้ำนิ่ง ไม่จำเป็นต้องวัดค่าน้ำ ค่าปุ๋ย ให้ยุ่งยาก

สิ่งที่เป็นศัตรูพืช

หน้าหนาว : จะเจอหนอน เราก็ใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงหมักยาเส้นอะไรฉีดพ่นไปตามปกติ

หน้าร้อน : เพลี้ยลง เราก็ใช้ตัวกำจัดเพลี้ย ซึ่งเรามีรายได้จากการรีวิว ตัวกำจัดเพลี้ยด้วย

หน้าฝน : รากเน่าราใบจุด เราแก้ปัญหากำจัดวัชพืช

คุณนุ้ย เล่าว่า เวลาเราไลฟ์ขายของ ส่วนมากจะมีคนเข้ามาทักทาย บางคนเป็นลูกค้า บางคนเขาก็เข้ามาปรึกษาเพราะเป็นหนี้เยอะเหมือนกัน บางคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เราก็ทำหน้าที่ให้กำลังใจกันและกัน นอกจากนี้ เรายังให้ความรู้และเทคนิคทำการตลาดด้วย วิธีการปลูกผักด้วย

“เส้นทางความสำเร็จของเรา คือการทำงานอย่างสม่ำเสมอ และเปิดโลกเรียนรู้ ไม่ยึดติดกับความสำเร็จ”

คุณนุ้ย เล่าทิ้งท้ายว่า ถึงเวลานี้ เธอยังใช้หนี้ไม่หมด และยังคงเดินหน้าทำงานหาเงินสู้ชีวิตต่อไป แต่การหันกลับมาเกษตร ทำให้ชีวิตเธอสามารถยืนหยัดได้อีกครั้ง...

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน 

อ่านบทความที่น่าสนใจ