เป้าหมาย คือ รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาของแพง หัวใจหลักนโยบายเศรษฐกิจ ของ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจพรรคชาติพัฒนากล้า...

ต้องการเข้ามา...เพื่อรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาของแพง นี่คือหัวใจสำคัญเรื่องนโยบายเศรษฐกิจของ "พรรคชาติพัฒนากล้า" พรรคขนาดเล็กที่สร้างความแตกต่างจากพรรคการเมืองใหญ่ๆ ในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ อะไรคือที่มาของแนวคิดซึ่งกล้าที่จะแตกต่างจากนโยบายรัฐสวัสดิการ เช่นที่หลายๆพรรคการเมืองกำลังพยายามนำเสนอในการ "เลือกตั้ง 2566" ที่ใกล้มาถึง วันนี้ "เรา" ไปรับฟังจากปากของ "นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ" อดีตรองนายกรัฐมนตรีและประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจพรรคชาติพัฒนากล้า ผ่าน "ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์"

"นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ" อดีตรองนายกรัฐมนตรีและประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจพรรคชาติพัฒนากล้า

...

ชาติพัฒนากล้า กับการรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาของแพง :

“หัวใจสำคัญในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจที่ทางพรรคชาติพัฒนากล้า ต้องการนำเสนอต่อประชาชน คือ เรื่องการแก้ไขปัญหาของแพง ซึ่งเรื่องนี้แทบไม่มีใครพูดถึงเลย และดูเหมือนจะมีแต่คนพูดว่า จะให้โน่นให้นี่กันมากกว่า (หัวเราะ) แต่ยังไม่เห็นมีใครพูดถึงเลยว่าจะแก้ไขปัญหาของแพงได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และทางพรรคเองก็มีแนวคิดว่าต้องไปรื้อโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในหลายๆจุด โดยมุ่งเน้นไปที่นโยบายการคลังเป็นส่วนใหญ่ นั่นก็คือ นโยบายการหารายได้ ซึ่งก็แน่นอนว่าย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษี และนโยบายใช้เงินภาษีในการลงทุน”

ชาติพัฒนากล้า = กล้าที่จะแตกต่าง :

“นโยบายเศรษฐกิจของพรรคชาติพัฒนากล้า มีความแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มักมุ่งเน้นไปในเรื่องรัฐสวัสดิการอยู่สมควร นั่นเป็นเพราะในมุมมองส่วนตัวคิดว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลชุดต่อไป จะต้องคิดแล้วว่าจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอะไร และจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร ซึ่งการมุ่งนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจในแนวนี้ มันก็คงเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุด แต่ก็คงอาจจะไม่ค่อยมีคนสนใจสักเท่าไร (หัวเราะ) ...เพราะมันไม่ใช่เรื่องของ ให้กันเท่าไร ให้อะไรบ้าง อะไรทำนองนี้ เพราะปัจจุบันหากลองสังเกตตามโปสเตอร์หาเสียงต่างๆ ก็คงรู้กันแล้วว่า ทุกคนกำลังพยายามเอาใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งกันทั้งนั้น

อย่างไรก็ดีในใจผมก็ยังคิดนะว่า มาถึงจุดนี้บางทีเรื่องใครให้ได้มากกว่ากัน อาจจะไม่ใช่ประเด็นแล้ว เพราะคงไม่มีใครเชื่อว่า...ใครจะให้ได้มากกว่าใคร แต่คงเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นมากกว่า เลือกเขามาแล้ว เขาได้เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ แล้วก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยมีทีมเศรษฐกิจที่ดีพอ ซึ่งผมว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นประเด็นสำคัญ”

ชาติพัฒนากล้า กับ นโยบายประชานิยม :

“ผมคิดว่าทำยากนะครับ คือ ผมไม่ได้ไปดูถูกใครนะครับ แต่ผมว่าตัวเลขมันก็ฟ้องอยู่ว่ามันทำยาก เพราะสิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ งบประมาณแผ่นดินของเราขาดดุลมาโดยตลอด แล้วเวลานี้ที่เรากู้มา มันไม่ได้กู้มาใช้ เรากู้มาใช้หนี้ เรากู้มาเป็นค่าดอกเบี้ย เรากู้เป็นค่าเงินต้น เงินลงทุนจริงๆมีแค่ไม่กี่แสนล้านเอง เพราะฉะนั้นผมก็มองไม่ค่อยออกว่ามันจะหลุดจากวัฏจักรนี้ได้อย่างไร เพราะเผลอๆ เดี๋ยวก็ต้องกู้ ด้วยการออก พ.ร.ก.กู้เงินพิเศษกันอีก แล้ว...อัตราดอกเบี้ยนับวันมีแต่จะขึ้นแบบนี้ ภาระการคลังมันก็เหนื่อยมากครับ”

...

เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยปี 2566 :

“ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ อยู่ที่เรต 5% แล้วในปีนี้ ซึ่งถือเป็นเรตสูงสุดที่ไม่เคยพบเห็นกันมาเนิ่นนานมากแล้ว ฉะนั้น ประเทศไทยจะมองแค่ว่า เฟด จะขึ้นก็เป็นเรื่องของ เฟด ไม่เกี่ยวกับประเทศไทยไม่ได้ เพราะในข้อเท็จจริงแล้ว อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีผลกระทบต่อค่าเงิน และทิศทางการไหลออกของเงิน

ฉะนั้น หากในสหรัฐอเมริกามีอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้หรือปีต่อไปสูงถึง 5% อัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยย่อมจะแตกต่างจากของสหรัฐอเมริกามากนักไม่ได้ ซึ่งเอาล่ะ เราอาจจะไม่ได้ขึ้นมากมายอะไรนัก แต่เราก็ต้องขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นเงินมันก็จะไหลออกนอกประเทศหมด

โดยส่วนตัวคิดว่าภายในปีนี้ เฟด น่าจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สูงไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะสหรัฐฯ กำลังเผชิญปัญหาธนาคารล้มละลาย ซึ่งปัจจัยในเรื่องนี้น่าจะเป็นผลทำให้เศรษฐกิจเบาลง จนกระทั่งไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้ออีก อย่างไรก็ดี คงเป็นไปได้ยากที่ เฟด จะยอมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงให้เหลือสัก 4.5% ภายในปีนี้เช่นกัน

ฉะนั้นในเมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 5% ของประเทศไทยเราในปีนี้ ก็ควรจะอยู่ที่อย่างน้อยที่สุดประมาณ 2%!

เมื่อประเทศไทยอยู่ในทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้ คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือ ประชาชนที่กำลังผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือ กลุ่มคนที่มีหนี้อยู่กับสถาบันการเงิน รวมถึงที่ต้องไม่ลืมคือ รัฐบาลไทยเองก็มีหนี้อยู่มหาศาลด้วยเช่นกัน

...

ชาติพัฒนากล้า กับนโยบายหารายได้ให้ประเทศ :

"เรื่องการหารายได้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญในนโยบายการคลัง แต่ต้องไม่คิดใช้คำพูดคำว่า ปรับฐานภาษี ที่มักได้ยินจากหน่วยงานจัดเก็บภาษีของไทยอยู่เสมอๆ ว่า ได้เวลาแล้วที่จะต้องขยายฐานภาษี เพราะคำว่าขยายฐานภาษี คือการจัดเก็บภาษีจากคนจนมากขึ้น เพราะตอนนี้คนจนไม่มีเงินให้เก็บภาษีแล้ว เพราะสิ่งที่ควรจะพูดมากกว่าคือ เปลี่ยนระบบการจัดเก็บภาษีใหม่เป็นระบบแบบก้าวหน้า ใครมีรายได้มากต้องเสียมากขึ้นไปอีก ใครมีรายได้น้อยต้องไม่ควรเสีย และใครมีรายได้ปานกลางก็เสียในระดับพออยู่ได้ ไม่ใช่คิดแต่จะไปเก็บเล็กเก็บน้อยจากบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่กำลังเหนื่อยยากอยู่ทุกวันนี้เป็นสิบๆ ล้านครัวเรือน ซึ่งมันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง!

ฉะนั้นมันจึงตรงกับสิ่งที่ทางพรรคชาติพัฒนากล้า ต้องการนำเสนอกับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ นั่นคือ การรื้อโครงสร้างภาษีและการหารายได้ เพราะเราต้องไม่ให้ภาระของมนุษย์เงินเดือนมีมากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้ เพราะในเมื่อเรายังไม่สามารถเพิ่มรายได้ให้กับพวกเขาได้ อย่างน้อยที่สุดเราต้องลดภาระรายจ่ายของพวกเขาลงไป ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ต้องทำควบคู่กันไป เหมือนกับนโยบายการคลังในเรื่องของการใช้เงินงบประมาณ ซึ่งหากใครได้ติดตามเรื่องงบประมาณจะทราบกันดีว่า ค่าบริหารจัดการของทางราชการ ตัวเลขมันน่ากลัวมาก คือมันสูงมากๆ (ลากเสียง) ซึ่งหากเป็นการบริหารจัดการของภาคธุรกิจก็คงเจ๊งไปนานแล้ว ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ก็คือ การนำระบบ e-Government มาใช้อย่างจริงจังได้แล้ว เพื่อลดทั้งขั้นตอนและจำนวนข้าราชการลงไป เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นเราก็คงอยู่ไม่ได้ ก็จะแจกจะแถมอะไรกันเยอะแยะแล้วเราจะไปเอาเงินที่ไหน มันก็ลำบาก มันก็ทำไม่ได้!

...

ผมว่าทิศทางการหารายได้เข้าประเทศ หลายอย่างผมก็มองตรงข้ามกับรัฐบาลนะครับ เช่น เรื่องเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยส่วนตัวให้ความสนใจกับเรื่องนี้น้อยมาก เพราะผมคิดว่าอะไรก็ตามที่เราต้องพึ่งพาต่างประเทศมันก็เท่ากับว่าเรายืนอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะวันไหนเขาเดินหนีไปเราก็แย่

ฉะนั้นหลักคิดของผม คือ การบริหารประเทศทางด้านเศรษฐกิจ คือ ต้องมีภูมิคุ้มกันจากเศรษฐกิจภายนอกให้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งประเทศอื่นอาจจะทำไม่ได้แต่ผมเชื่อว่าประเทศไทยทำได้ เพราะเรามีทั้งอาหาร และทรัพยากรที่ล้นเหลือ รวมถึงยังมีจำนวนประชากรที่ไม่ได้มากเกินไปกว่าพื้นที่ที่เรามีอยู่

เพราะฉะนั้น หากจะลงทุนในเรื่องที่สามารถทำได้เอง ซึ่งประเทศไทยสามารถทำได้อยู่แล้วเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการท่องเที่ยวที่ปัจจุบันมักจะเอาแต่พูดว่า อยากได้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อปีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับว่า เราต้องใช้เงินงบประมาณเพื่อทำนุบำรุงของดีๆ ของบ้านเราให้อยู่ในสภาพดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ตลอดไป

เพราะถ้าหากเราไม่ได้ทำเช่นนั้น และมัวแต่อยากจะได้นักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมากๆ ปีละ 30 ล้านคน หรือ 40 ล้านคน แต่ประเทศเรามีแต่ขยะ ชายหาดก็สกปรก ทุกอย่างเละเทะไปหมด เพราะมีคนมาใช้แต่ไม่มีคนมาทำความสะอาด ไม่มีคนมาทำนุบำรุงรักษา แบบนี้อีกไม่นานก็คงไม่มีใครอยากจะกลับมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยอีก

สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ ในช่วงปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยกลับมาสวยงามได้สุดยอดอยู่ในขณะนี้ เราต้องไม่กลับไปทำลายมันอีกครั้ง เพราะฉะนั้นหากเรามุ่งกันไปตรงจุดนี้ รวมถึงเน้นเรื่องการหาพลังงานทดแทนเพื่อแก้ปัญหาเรื่องการต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมัน การลงทุนเหล่านี้ซึ่งอาจจะพึ่งการลงทุนจากต่างประเทศได้บ้าง ผมเชื่อว่าประเทศเราไปได้ แต่ถ้าหากว่า เรายังมัวแต่มองว่าอยากจะเป็นแบบประเทศตะวันตก มีตึกสูงๆ มีรถไฟความเร็วสูงเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แบบนั้นผมว่าเราไปผิดทางแน่นอน เพราะปัญหาความเหลื่อมล้ำมันเกิดจากทิศทางการบริหารเศรษฐกิจ เราเดินไปทิศทางไหนที่แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อันนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องรีบทำครับ!”

ชาติพัฒนากล้า กับปัญหาพรรคขนาดเล็ก :

“ถ้าเราได้เสียงพอ หมายความว่าขนาดของพรรคเราไม่ได้เล็กจนเกินไป จนไม่มีใครสนใจ เราก็จะเสียงดังขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล ถ้าเป็นฝ่ายรัฐบาลแปลว่าเขาอยากได้เรา เพราะเรามีขนาดพอ เพราะฉะนั้นเราก็สามารถที่จะบอกได้ว่า ถ้าจะเอาพวกเราไปทำงาน เราถือเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เราไม่ได้ถือว่าได้กระทรวงเล็กกระทรวงใหญ่ เราถือเนื้อหาของเรื่องนโยบายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าการรื้อโครงสร้างเพื่อแก้ไขปัญหาของแพง หัวใจสำคัญคือ เรื่องไฟฟ้าและราคาน้ำมัน ซึ่ง ณ ปัจจุบัน รัฐบาลที่เป็นรัฐบาลจากระบบราชการ เขาก็ทำงานตามระบบราชการก็คือปกป้องผลกำไรของรัฐวิสาหกิจในแง่ที่ว่า กำไรจะลดลงไม่ได้เลย และหากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มก็ผลักภาระไปให้กับประชาชน"

ชาติพัฒนากล้า กับความคาดหวัง :

“เรื่องตัวเลขนี่มันก็พูดยากนะครับ (หัวเราะ) เพราะหากพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบันบอกว่าจะได้มากกว่า 300 เสียง ซึ่งหากเขาได้มากกว่า 300 เสียงจริงๆ แปลว่า ไม่มีใครแบ่งมาให้เราเลย เมื่อไม่มีใครแบ่งมาให้เราเลย เสียงเราก็ไม่มีครับ” (หัวเราะ) ฉะนั้นเรื่องนี้ผมขอไม่ตอบนะครับ (หัวเราะ) ก็อย่างน้อยที่สุดหากชอบในพรรคชาติพัฒนากล้า เข้าใจในแนวความคิดของพรรค และช่วยเลือกกันเข้ามามันก็จะมีแต่ดีกับดีครับ

คือต้องยอมรับว่าพรรคชาติพัฒนากล้าเป็นพรรคขนาดเล็ก นโยบายที่นำเสนอไม่ว่าจะชอบอย่างไร ผมก็คิดว่า...ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง คงมานั่งคิดเหมือนกันว่า พรรคเราจะได้ผู้แทนสักกี่คน แล้วจะไปทำอะไรได้ (หัวเราะ) อย่างไรก็ดีในข้อเท็จจริงคือ แม้จะมีไม่กี่คนมันก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าในการจัดตั้งรัฐบาลหลายต่อหลายครั้ง คนที่สำคัญที่สุดคือคนที่ตัวเล็กที่สุดเช่นกัน เพราะว่ามันคงไม่มีการแลนด์สไลด์อย่างแท้จริง”

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ กับ การเลือกตั้ง 2566 :

“ผมคงไม่ลงครับ คือ ตอนแรกก็คิดว่าจะลงเหมือนกัน แต่เมื่อดูด้วยสถานะทั่วไปแล้วก็คงเอาไว้ก่อนดีกว่าครับ” ประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจพรรคชาติพัฒนากล้า ปิดท้ายการสนทนากับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง