ตอนที่ 15
หลังจากนอนครุ่นคิดจนวุ่นวายไม่สบายใจแทบทั้งคืน รุ่งขึ้นเกียรติกรก็ยอมไปพบเรยาที่สนามกอล์ฟตามนัด เรยาแสดงความคิดถึงเขาด้วยการกอดจูบ แต่เขาไม่ตอบสนองใดๆ นอกจากหลับตานึกถึงคำบอกเล่าของพี่ชาย
“ตอนนี้ปัญหากำลังมัดตัว...ดิ้นไม่หลุดเลย ถ้าคุณดี๋รู้ เธอหย่ากับพี่แน่ พี่เลิกกับคุณดี๋ไม่ได้ ถ้าคุณดี๋ต้องไป พี่จะเป็นทุกข์ตลอดชีวิต แทบไม่อยากอยู่ต่อไป”
เกียรติกรค่อยๆลืมตา ตัดสินใจว่ายังไงเขาก็ต้องช่วยพี่ชาย
“ซีเค...เป็นอะไรหรือ”
“คิดถึงคุณ” คำพูดเขาห้วนสั้นแถมสีหน้าก็เรียบเฉย แต่เรยาไม่ทันสังเกต
“ซีเค...ฉันต้องตายถ้าไม่มีคุณ ชีวิตฉันขาดคุณไม่ได้”
“ผมก็ขาดคุณไม่ได้เหมือนกัน...เรยา”
เรยาตื้นตันใจมาก พลางคิดในใจว่าเธอต้องจัดการเรื่องที่ยังคาราคาซังให้เร็วที่สุด แต่ในขณะเดียวกันเกียรติกรที่ตัดสินใจว่าต้องช่วยพี่ชาย จึงชวนเธอไปกินอาหารที่ร้านประจำแล้วเริ่มจับผิดโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว
“ซีเค...ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย...”
“อะไรที่ว่าเรียบร้อย”
“เรื่องบางอย่างที่เรยาต้องจัดการ”
“เกี่ยวกับใคร”
“แม่...แม่ของฉัน เราต้องพูดกันยาว”
“แม่หรือ? ไม่ใช่สามีนะ”
เรยาชะงักไปนิด แล้วขอร้องเขาต้องเชื่อเธอ เธอไม่มีสามี ไม่มีใครทั้งสิ้น มีแค่เขาคนเดียวจริงๆ
“ไหนเล่าเรื่องแม่ซิ”
“แม่ฉัน...เขาอยากให้ฉันแต่งงานกับคนอื่น คนที่เขาชอบ ฉันถึงไม่พาคุณไปบ้าน ฉันกำลังจะให้แม่กลับเมืองไทย...ไม่ช้าแม่ก็กลับไป แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกัน บ้านนั้นจะเป็นเรือนหอของเรา...”
“กลับเถอะ” เขาโพล่งขึ้นมาทั้งๆที่เรยายังพูดไม่จบ นั่นก็เพราะเขาไม่อาจจะทนฟังเธอโกหกต่อไปได้
“ซีเค...ทำไมคะ”
เขาไม่มีคำตอบให้เธอ นอกจากย้ำคำเดิมว่า “กลับเถอะ” พูดจบเขาก็เดินนำลิ่วออกจากร้านไปเลย เรยาแปลกใจสงสัยในท่าทีและคำพูดของเขาเหลือเกิน แต่ไม่กล้าเซ้าซี้ รอจนกระทั่งเขาขับรถไปส่งเธอจึงเลียบเคียงถามเขาว่า
“ซีเค คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ทำไมเหรอ”
“คุณทำท่าแปลกๆ”
“คุณก็น่าจะรู้เพราะอะไร”
“ซีเค...ฉันรู้ว่าคุณคิดอะไร และฉันก็คิดเหมือนคุณ”
“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมคิดเหมือนคุณ”
“เพราะคุณรักฉันเหมือนที่ฉันรักคุณ ซีเค...ฉันจะคอย ฉันจะทน”
“งั้นก็ไม่ต้องคอย...ไปบ้านผมก็ได้นะเรยา ไปเดี๋ยวนี้เลย ผมรักคุณจนรอไม่ไหวแล้ว”
เรยาอยากจะทำเช่นนั้นเต็มแก่ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ดึกแล้ว และที่สำคัญก้องเกียรติคงกำลังรอเธออยู่ที่บ้าน...เมื่อเธอเอ่ยปากปฏิเสธเขาไป แล้วก้าวลงจากรถเพื่อเดินต่อไปยังบ้านที่ไม่เคยยอมให้เขาไปส่ง แต่คราวนี้เขากลับเดินตามมาร้องเรียก
“เรยา...ผมจะเข้าไปหาแม่คุณ บอกว่าผมรักลูกสาวแม่”
“ซีเค...อย่า ฉันขอร้อง
“ทำไม...เรยา บอกผมตามตรง ไม่ใช่แม่คุณใช่มั้ย”
“แม่...แม่ฉันจริงๆ” เธอเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้
“โอเค ผมเชื่อคุณ”
เรยาโผเข้ากอดเขาทันที แต่เขาไม่กอดตอบเพราะใจเริ่มรังเกียจ...แล้วเรยาก็หันหลังเดินจากไปเงียบๆ พอเปิดประตูเข้าบ้านปรากฏว่าก้องเกียรติยังไม่นอน เธอจึงถูกเขาซักว่าไปไหนมาถึงกลับดึกป่านนี้
“ฟ้าไปหาเพื่อน”
“ทำไมอยู่จนดึกอย่างนี้ล่ะ ฟ้ากลับดึกอย่างนี้บ่อยๆรึเปล่า”
“เพิ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกค่ะ...ถ้าพ่อไม่ไว้ใจฟ้า ซักถามขนาดนี้ พรุ่งนี้มะรืนนี้ฟ้าจะไปอีก จะกลับให้ดึกกว่านี้อีก” เรยาร้อนตัวประชดประชันออกมา แล้วเลยพาลไปเรื่องลูกที่ยังคุยกันไม่เคลียร์ “ตกลงพ่อจะบอกได้หรือยังว่าจะเอาลูกไปเมื่อไหร่”
“ฟ้า...พูดกันจริงจังหน่อย ผมขอเวลา”
“ไม่...ไม่มีเวลาแล้ว”
“ฟ้าจะเอาเวลาไปทำอะไร ลูกอยู่กับคุณที่นี่ก็ไม่ได้เป็นภาระของคุณ แอนนาทำทุกอย่างอยู่แล้ว ผมขอให้รอเวลาที่เหมาะสม”
“ที่นังนั่นมันจะยินยอมใช่มั้ย จ้างให้หรอก...คนอย่างมัน”
ก้องเกียรติลุกขึ้นเดินไปอย่างไม่อยากจะพูดด้วย แต่เรยาแผลงฤทธิ์โผนเข้ากระชากแขนเขาเอาไว้
“อย่าเดินหนีฟ้านะ”
“คุณฟังผมนะเรยา...เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก ผมรับรองว่าตาหนูคือทายาทเจนพาณิชย์สกุล ปู่ย่าจะรับเขาอย่างแน่นอน...เป็นหน้าที่ของผมจะจัดการเรื่องนี้ แต่สำหรับคุณ...ผมจำเป็นที่ต้องให้คุณอยู่ในที่ของคุณ”
“ที่ไหน” ถามทันควัน
“ถ้าคุณจะอยู่ที่นี่ บ้านหลังนี้เป็นชื่อตาหนู คุณจะอยู่ได้ตลอดไป ส่วนตาหนู...คุณจะให้แกมาอยู่กับคุณก็ได้ ผมจะพูดกับอาเตียอาม้าผมเองว่าลูกควรอยู่กับแม่”
“ไม่เป็นไร ฟ้าอยากให้ลูกอยู่กับครอบครัวของพ่อ เขาจะได้โตขึ้นมาเป็นคุณชายน้อยของตระกูล ส่วนฟ้า...ฟ้ายอม...ยอมให้พรากลูกไป ยอมอยู่ที่นี่”
“ฟ้าจะกลับเมืองไทยก็ได้ คอนโดฯของฟ้ายังอยู่”
“ไม่...ฟ้าจะอยู่โอ๊กแลนด์นี่แหละ”
“ก็ดี...ผมจะมาหาฟ้าอย่างที่เคยมา เพราะเรื่องงานที่บริษัทผมคงต้องมาตรวจเป็นระยะๆ อาจจะไม่บ่อย เพราะตอนนี้ตี๋เล็กน้องชายมาช่วย”
“พ่อจะพาลูกไปคราวนี้เลยได้มั้ยคะ”
“ทำไมต้องรีบขนาดนั้น”
“พ่อจะได้เร่งจัดการทุกอย่างให้เสร็จไป ฟ้าอยากให้ สบายใจกับทุกฝ่าย ถ้าตาหนูไม่อยู่ในสายตา พ่อก็ลืม มัวแต่เพลิดเพลินอยู่กับเมียผู้ดีตีนแดงของพ่อ จนลืมว่ามีเมียกับลูกไพร่อยู่ที่นี่”
“ตกลง...ผมจะพาตาหนูไป” ตอบเสร็จเขาผละไปทันที เรยาจึงไม่ต้องซ่อนรอยยิ้มที่สุดแสนจะปลอดโปร่งโล่งใจ...
ooooooo
เช้าวันนี้ก้องเกียรติพาน้องชายมาแนะนำตัวกับพนักงานที่มีไม่มากนักเนื่องจากเป็นบริษัทสาขาในต่างแดน แต่เกียรติกรก็จำเป็นต้องทำความรู้จักกับทุกคนเพราะหลังจากนี้เขาจะต้องมาช่วยงานที่นี่บ้างเมื่อมีเวลาว่างจากงานประจำที่โรงพยาบาล
เสร็จธุระที่บริษัทแล้วก้องเกียรติตามน้องชายกลับไปที่บ้านอีกครั้งและสังเกตเห็นความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างลำบากเพราะน้องต้องทำงานบ้านเอง เขารู้สึกสงสารจึงเอ่ยปากชวนน้องกลับเมืองไทย
“ครอบครัวอยู่เมืองไทย ยังไงๆผมกลับแน่ครับพี่ชายใหญ่”
“ทำไมไม่กลับเลยตอนนี้”
“ผมจะสอบบอร์ดที่นี่ก่อน อีกเดือนกว่าๆ ผมจะไปเมืองไทยเดือนหนึ่งครับ ไปทำรายงานชิ้นหนึ่ง ผมจะเก็บข้อมูลของคุณนายที่สี่ แล้วมา Consult กับอาจารย์หมอทางนี้ ให้เขาช่วย Design วิธีรักษา”
“ขอบใจมากตี๋เล็ก พี่นึกว่าเธอจะลืม”
“หมอไม่ลืมคนไข้คนแรกหรอกครับ”
ก้องเกียรติพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วตอบคำถามน้องชาย ที่ถามถึงอาเตียกับอาม้าใหญ่ว่าเป็นยังไงบ้าง
“อาเตียแก่ไปเยอะ อาม้าใหญ่ก็เหมือนกัน แต่ก็แข็งแรงดี เธอไม่ถามถึงคุณนายคนอื่นเหรอ”
“ผมไม่สนใจคุณนายที่สอง”
“คุณนายที่ห้าล่ะ คนนั้นก็น่าสงสารนะ ผู้หญิงที่วางเดิมพันชีวิตกับผู้ชายสูงอายุ ที่สำคัญ...ในต่างแดนที่ไม่คุ้นเคย”
“เขาไม่ได้ต้องการอะไรมากมายในชีวิต ความสบาย เงิน แล้วก็...ที่อาเตียของเราคงให้เขาไม่ได้เต็มที่แล้ว”
จริงอย่างที่เกียรติกรกล่าวมาเพราะเวลานี้เจ้าสัวเชงอายุมากโขแล้วสภาพร่างกายจึงมีแต่เสื่อมโทรมลงไปทุกที แม้แต่ยาที่ว่าดีเลิศแค่ไหนก็ช่วยไม่ค่อยได้ เขาจึงให้ความสุขฉันสามีภรรยากับซิลเวียที่ยังสาวยังสวยไม่เต็มที่ เลยต้องคอยหลบเลี่ยงเธออยู่เรื่อย แต่วันนี้ถูกเธอจู่โจมถึงตัวจนเจ้าสัวไม่อาจขัดขืนเธอได้ ส่งผลให้เจ้าสัวมีอาการอ่อนเพลียอย่างมาก ต้องเรียกจิวมาสั่งการถึงในห้องนอน
“จิว...ถ้ายาชุดสุดท้ายของลื่อไม่ได้ผล นัดหมอทางอเมริกาอีกครั้ง อั้วจะไปหาอี”
“หมอคนนั้นอีซี้ไปแล้วนะครับอานายท่าน”
เจ้าสัวหน้าเสียนิ่งเงียบไปทันที
“อั้วจะให้หมอเพิ่มตัวยาบำรุงให้อีกหน่อย...ของเดิมอาจจะน้อยไป”
“ดี...ลื่อจำไว้ว่าอั้วจำเป็น อั้วจะไม่ให้ใครมาดูถูกว่าอั้วแก่ เหลาเหย่ไม่เอาไหน”
“ใครครับ...อานายท่าน”
“ลื่อก็รู้ดีว่าอีเป็นใคร อั้วเกลียดอีนะอาจิว เกลียดจริงๆ” เจ้าสัวเสียงแผ่วลงและหลับตานิ่งไป จิวเห็นแล้วสงสารจับใจ พานคิดชิงชังซิลเวียที่เป็นต้นเหตุให้นายต้องเป็นแบบนี้
ooooooo
วันต่อมา ซิลเวียเจอไทรรัตน์จังๆที่ตึกเล็ก เธอไม่รอช้ารีบเข้าไปคลอเคลียออดอ้อนจะให้เขาพาเที่ยวคลายความเหงาแต่เขาไม่ยอมเพราะเกรงใจกรองกาญจน์ ซึ่งเป็นคู่หมั้น และที่สำคัญซิลเวียก็อยู่ในฐานะเมียคนหนึ่งของเจ้าสัวเชง ยิ่งไม่เหมาะสม
แต่ซิลเวียฟังซะที่ไหน เธอยังตื๊อไม่เลิก แถมเข้านัวเนียจนพลาดพลั้งล้มลงไปนอนทับทาบกันอยู่ที่พื้น หน้าต่อหน้าชนกันพอดี
“ไอ๋หยา...ลื่อทำอาลายกัน” เสียงเม่งฮวยดังแหวกอากาศขึ้นมาจนทั้งคู่สะดุ้งรีบลุกขึ้นโดยเร็ว ไทรรัตน์อายและวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ซิลเวียกลับเฉยๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ชำเลืองมองเม่งฮวยที่เดินเข้ามาพร้อมอาฮุ้ง
เม่งฮวยไม่รับฟังคำอธิบายใดๆของไทรรัตน์ เธอต่อว่าเขาทำผิดทำบาปจูบกับซิลเวีย ทั้งๆที่มีลูกสาวของตนเป็นคู่หมั้นอยู่ทั้งคน...ว่าแล้วเม่งฮวยก็ให้สาวใช้คนหนึ่งไปเชิญเจ้าสัวมาที่นี่เดี๋ยวนี้ จากนั้นหันมาบ๊งเบ๊งซิลเวียว่าหน้าด้านจูบกับชายอื่นที่ไม่ใช่สามีกลางวันแสกๆ แต่ซิลเวียไม่เข้าใจคำว่าหน้าด้านจึงหันไปถามความหมายจากอาฮุ้ง
“หน้าด้านแปลว่า...หน้าไม่อายฮ่ะ”
“ทำไมต้องอาย บิ๊กมาดาม ทำไมซิลเวียต้องอาย”
“นังอั้งม้อต่ำทราม ลื่อมากอดจูบกับคู่หมั้นของลูกสาวอั้ว เลี้ยวม่ายอาย เค้าเป๋น่อ เก๊กซิมจริงๆเลย ลื่อเป็นเมียนายท่านนะเว้ย”
“กอด...จูบ...ใครบอก ไม่ได้ทำยังงั้นนะบิ๊กมาดาม” ซิลเวียตอบโต้ แต่เม่งฮวยก็ยืนยันว่าตนเห็นกับตา ไม่ฟังทั้ง ซิลเวียและไทรรัตน์ จนกระทั่งกรองกาญจน์ได้ยินเสียงเอะอะโผล่เข้ามาถามว่ามีเรื่องอะไรกัน เม่งฮวยตั้งท่าจาระไน แต่ไทรรัตน์รีบฉุดมือกรองกาญจน์ออกไปนอกบ้าน
กรองกาญจน์เชื่อคำพูดของไทรรัตน์จึงกลับเข้ามาอธิบายเพื่อให้อาม้าเข้าใจ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ระหว่างนี้ เองเจ้าสัวเดินเข้ามา เม่งฮวยรีบฟ้องและหวังว่าซิลเวียจะโดนเจ้าสัวดุด่า แต่ผิดคาด เจ้าสัวกลับไม่ว่าอะไรซิลเวียสักคำ แถมยังห้ามกรองกาญจน์ด้วยว่าไม่ต้องเล่า ตนไม่อยากฟัง
พูดจบเจ้าสัวก็เดินกลับไปทางตึกใหญ่ สีหน้าเขาโกรธกริ้วซิลเวียมากเพราะเคยเห็นมากับตาตัวเองแล้วครั้งหนึ่งที่ซิลเวียกอดจูบกับไทรรัตน์ พอเดินมาเจออาจิวกลางทางเขารีบสั่งบ่าวคนสนิทว่า
“จิว...อย่าให้คุณนายแหม่มเข้าห้องอีก”
“อานายท่าน อั้วห้ามอีไม่เคยได้เลยฮ่ะ อีเก่งจริงๆ”
“หน้าที่ลื่อ” เจ้าสัวเสียงเข้ม เดินกลับไปตึกใหญ่ทันที
ส่วนเม่งฮวยยังก่นด่าซิลเวียอีกพัก แล้วแถมท้ายด้วยต่อว่าไทรรัตน์ก่อนจะพาตัวเองออกจากตึกเล็กไปอย่างไม่สบอารมณ์ กรองกาญจน์มองหน้าคู่หมั้นแล้วถอนใจออกมา
“เฮ้อ...ทีหลังก็ระวังตัวหน่อยนะไทรรัตน์”
“ระวังตัวเรื่องอะไร”
“เอ๊า ระวังอย่าให้ซิลเวียมาจูบได้ไง”
“แต่ถ้าคุณจะจูบไม่ต้องระวังใช่มั้ย”
“ไม่ต้อง เพราะฉัน...No”
“แต่ผม...Yes” พูดขาดคำเขาก็คว้าตัวเธอเข้ามากอดรัด อย่างรวดเร็ว
ooooooo
ว่างจากงานในวันนี้ เกียรติกรถือโอกาสซักถามข้อมูลของเรยาจากพี่ชาย เขาอยากรู้ว่าเธอเป็นคนยังไง เหตุใดพี่ชายถึงได้เธอเป็นภรรยา และเธอเป็นฝ่ายเริ่มต้นใช่ไหม?
ก้องเกียรติบอกเล่าว่าเรยาเป็นคนอารมณ์ค่อนข้างแรง เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ มั่นใจตัวเอง อยากได้อะไรก็ต้องเอาให้ได้ แต่สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพี่กับเขา พี่ก็ผิดด้วย โทษเขาฝ่ายเดียวไม่ได้ ผู้หญิงข่มขืนผู้ชายไม่ได้หรอก
“ทำไมพี่ชายใหญ่ไม่เลิก ตอนที่ยังเลิกได้ มันผิดนี่ครับ เขาก็ต้องรู้”
“เขาท้อง ถึงยังไงเขาคือแม่ของลูก แล้วเขาก็รักพี่”
“รักพี่ชายใหญ่หรือครับ”
“เขารัก เขาบอกตลอดเวลา”
เกียรติกรสีหน้าเจ็บลึก เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเรยาก็บอกรักเขาตลอดเวลาเหมือนกัน
“ตี๋เล็ก...พี่จะกลับเมืองไทยแล้ว เรยาอยากให้พี่พาลูกไปหาปู่ย่า ยืนยันให้พาไปพร้อมพี่คราวนี้ ไม่รู้เหตุผลว่าทำไม”
เกียรติกรทราบดีว่าเพราะอะไร แต่เขาไม่ปริปาก ได้แต่ถามพี่ชายว่าจะพาลูกไปด้วยหรือเปล่า?
แล้วเช้ารุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเดินทางกลับประเทศไทย ก้องเกียรติก็ออกจากบ้านไปพร้อมแอนนาที่อุ้มลูกน้อยวัยสามเดือนของเขาไปด้วย เรยายิ้มโล่งอกโล่งใจ แล้วฝันหวานถึงซีเคอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับเข้ามาพิถีพิถันแต่งตัวสวยเตรียมออกไปพบเขา
เมื่อเสร็จเรียบร้อยเรยาไม่ลืมหยิบเช็คหนึ่งฉบับที่ก้องเกียรติให้ไว้ติดมือมาด้วย แต่พอจะเดินออกไปหน้าบ้านก็ต้องชะงักเพราะเห็นแอนนาอุ้มเด็กน้อยกลับเข้ามา
“แอนนา...ตาหนู” เรยาอุทานด้วยความตกใจ
“ฉันมาแท็กซี่ค่ะ ก้องเกียรติไปสนามบินแล้ว”
“พูดใหม่ซิแอนนา หมายความว่าไง”
“ก้องเกียรติพบหมอของตาหนูนานไปหน่อย เขากลับมาส่งฉันไม่ทัน”
“พบหมอ?” เรยาหน้าเหวอสุดๆ
“หมอประจำตัวของตาหนู เอ๊ะ เรยาไม่รู้หรือว่าก้องเกียรตินัดพบหมอของตาหนู”
“เขาบอกฉันว่าจะพาตาหนูไปเมืองไทย”
“พาตาหนูไปเมืองไทย เรยา...คุณพูดเรื่องตลกจัง เขาจะพาไปทำไม เด็กต้องอยู่กับแม่สิ”
เรยาเลือดขึ้นหน้าอย่างแรง เดินเข้าไปฉวยลูกน้อยมาอุ้ม แอนนาตกใจถามเสียงหลง
“คุณจะไปไหน...”
“ไปสนามบิน จะพาตาหนูไปส่งให้กับมือเลย เขาไม่พาไป ฉันก็ไม่พากลับมา...ทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้ ฉันไม่มีวันยอม”
เรยาอุ้มลูกจะออกไป แล้วต้องชะงักแทบช็อกเมื่อพบว่าซีเคกำลังเดินตรงเข้ามาในบ้าน เรยาตั้งสติจะส่งลูกน้อยคืนให้แอนนาพาออกไปข้างนอกก่อน แต่ช้ากว่าชายหนุ่มที่เดินเข้ามารับหลานชายไปอุ้มด้วยความรู้สึกตื้นตัน
โอบอุ้มหลานชายอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ส่งคืนแอนนา แล้วเดินตามเรยาเข้าไปในห้องโถง
“พ่อของตาหนู...เขาข่มขืนฉัน” เรยาเปิดฉากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เขาหลอกฉันเพราะเขาต้องการฉัน ทำจนฉันมีลูกจะได้ไปไหนไม่ได้ ฉันเกลียดเขา ไม่เคยรักเขาเลย เขาทรมานฉันทุกอย่าง เขาเป็นคนไม่ดี”
เกียรติกรสีหน้าเรียบนิ่ง ทั้งๆที่ใจนั้นร้อนแทบเป็นไฟ
“เขาตกลงเลิกกับฉันแล้ว เราเพิ่งตกลงกันได้ เขาจะเอาลูกไปอยู่กับเขา...”
“ผมจะกลับแล้วนะ” เขาแทรกขึ้นมาเพราะทนฟังนิยายน้ำเน่าเรื่องนี้ต่อไปไม่ไหว
“ทำไม ซีเค คุณไม่สงสารฉันหรือ ฉันโดนกระทำอย่างทารุณนะ คิดดูฉันเพิ่งอายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยที่เขาข่มขืนฉัน คุณไม่สงสารฉันเลยหรือ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นหันหลังให้โดยไม่พูดอะไร เรยาหน้าเสียใจสั่นรีบลุกมายึดตัวเขาไว้ด้วยอ้อมกอด
“คุณรักฉันไม่ใช่หรือ นี่ไม่ใช่ความผิดของฉันนะซีเค ฉันรักคุณนะ รักคุณยิ่งกว่าชีวิตของฉันเอง”
“คุณไม่ควรรักใครมากไปกว่าสามีและลูกของคุณ”
“ไม่...ฉันเกลียดเขา ส่วนลูก...ฉันจำต้องให้ไปเพราะพ่อเขารวย ลูกควรจะได้ตามสิทธิของเขา ความจริงเขาอยากเอาลูกไปตั้งนานแล้ว แต่ฉันยังตัดใจไม่ได้ ฉันยังไม่ให้ไปเพราะคิดถึงลูก”
เกียรติกรหมดอารมณ์แล้ว ฟังต่อไม่ได้แม้แต่คำเดียว เขาดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดอันน่าขยะแขยงนั้นไปโดยเร็ว เรยาถึงกับตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก...
แล้วค่ำคืนนั้นเองก็เหมือนมีระเบิดย่อมๆลงกลางบ้าน เรยาฟูมฟายน้ำตาด้วยความผิดหวังเสียใจ หยิบฉวยข้าวของขว้างปาโครมครามเกลื่อนกลาดไปหมด พอเห็นแอนนายืนหน้าตาตื่นมองมาจากประตูห้องนอน เรยาจ้องตาขวาง กล่าวหาแอนนาร่วมมือกับก้องเกียรติเรื่องตาหนูแล้วแกล้งทำเป็นไขสือ ครั้นพอถูกแอนนาเตือนสติ เรยาก็ยิ่งฉุนเฉียวไม่พอใจ ดูถูกแอนนาว่าเป็นแค่คนใช้ อย่ามากำเริบหรือเถียงคนเป็นนาย
แอนนาเศร้าใจกับความคิดแบ่งชนชั้นของเรยา เธอทำท่าจะกลับเข้าห้องนอน พอดีเสียงเด็กร้องไห้จ้าขึ้นมา จึงบอกให้เรยาไปอุ้มลูก แต่เรยากลับยอกย้อนว่า
“มันหน้าที่เธอนะแอนนา”
“ใช่ แต่นี่มันดึกแล้ว เป็นเวลานอนของฉัน”
“ถ้ายังงั้นก็ปล่อยให้ร้องไป”
แอนนาหยุดกึก เรยายิ้มในหน้าอย่างผู้ชนะ แต่เพียงครู่เดียวรอยยิ้มนั้นก็เหือดหายกลายเป็นโมโหโกรธาขึ้นมาอีก เพราะแอนนากล่าวทิ้งท้ายไว้เจ็บๆ ก่อนเดินเข้าห้องเด็กไป
“เขายังเล็ก ยังไม่รู้ว่าถูกแม่ทิ้ง พอเขาโตขึ้น เธอยังทิ้งเขาอย่างนี้ เขาจะไม่คิดว่าเธอเป็นแม่”
ooooooo
รอเวลาที่เมืองไทยเกือบเก้าโมงเช้าแล้วเรยาค่อยต่อสายหาก้องเกียรติที่บริษัท มาดหมายจะอาละวาดที่เขาไม่เอาลูกกลับไปอย่างที่คุยกันไว้ แต่ปรากฏว่าวิมลรับสายบอกว่าเจ้านายยังไม่เข้ามา แล้วไม่ว่าเรยาจะถามอะไรอีกวิมลก็ซักรายละเอียดตามหน้าที่ของเลขาฯ จนเรยาไม่พอใจตวาดแว้ดว่าไม่ใช่เรื่องของเธอที่จะมาถาม...
จากนั้นเรยาก็โทร.ไปที่บ้านก้องเกียรติด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดฉุนเฉียวจนสมปองที่รับสายตกใจ และงงงันเมื่อโดนทางนั้นกล่าวหาว่าโกหก ทั้งที่ตัวเองพูดความจริงว่าคุณผู้ชายออกไปทำงานแล้ว
“อย่ามาโกหกนะ ไปตามคุณผู้ชายของแกมาเดี๋ยวนี้”
สมปองยืนเงอะงะแต่ยังฟังเสียงแปร๋นๆที่ดังอย่างต่อเนื่อง ณฤดีเดินลงจากชั้นบนมาเห็นสีหน้าท่าทีแปลกๆของสมปองให้สงสัยว่าเป็นอะไร ใครโทร.มา...แล้วสมปองก็ตัดสินใจวางสาย ทำให้เรยายิ่งโมโหโทร.เข้ามาอีกที คราวนี้ณฤดีรับเองโดยไม่ ฟังเสียงห้ามของสมปองที่บอกว่าน่าจะเป็นคนสติไม่ค่อยดีโทร.มาถึงพูดจาชอบกล
“ฮัลโหล...ต้องการพูดกับใครคะ”
เรยาชะงักเล็กน้อยก่อนตอบเสียงแข็งว่า “คุณก้องเกียรติ”
“อ๋อ ออกไปทำงานแล้วค่ะ”
“ไม่จริง ฉันรู้ว่ายังไม่ออกไป ฉันต้องการพูดกับเขา”
“ขอโทษ จะให้บอกว่าใครจะพูดด้วยคะ”
“เห็นมั้ย ไหนบอกว่าออกไปแล้วไง ที่แท้ก็โกหกเหมือนกันทั้งบ่าวทั้งนาย”
ณฤดีข่มใจถามน้ำเสียงปกติว่า “ใครจะพูดด้วยคะ”
“ไม่ต้องรู้หรอก ไปตามมา”
“คุณก้องเกียรติไม่รับสายหรอกค่ะ ถ้าไม่ทราบว่าเป็นใคร”
“เพื่อน”
“ชื่ออะไรคะ”
“เอ๊ะ คุณจะรู้ไปทำไม ฉันไม่ได้จะพูดกับคุณ จะพูดกับผัวคุณได้ยินมั้ย”
ณฤดีสะกดอารมณ์เต็มที่ เหลือบมองสมปองที่แสดงท่าทีเป็นห่วง แต่เธอโบกมือว่าไม่เป็นไร แล้วกรอกเสียงตอบไปว่า
“เพราะฉันเป็นภรรยา ฉันถึงต้องถามว่าคุณเป็นใคร ชื่ออะไร มีธุระอะไรกับสามีฉัน”
“ธุระกับสามีคุณ ไม่ใช่คุณ ไปเรียกมาพูดสายได้แล้ว มาซักมาถามบ้าบอคอแตกอยู่นี่แหละ ถึงเป็นเมียก็ไม่ใช่เจ้าชีวิตเขานะ เรื่องส่วนตัวของเขาก็ให้มันรู้มั่งสิ”
“สามีฉันไม่มีเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณอยากบอกอะไรเขาก็บอกมา ฉันจะบอกเขาให้ ถึงคุณบอกกับเขา เขาก็บอกฉันอยู่ดี”
“ทุเรศ...”
ณฤดีถึงสะอึก แต่รีบสะกดกลั้นความรู้สึกอย่างรวดเร็ว “คุณจะบอกรึเปล่า”
“ทุเรศ...อีนังผู้ดีตีนแดง...อู้ย...ทำเป็นพูดจาแบบไฮโซ โธ่เอ๊ย ไฮโซโลว์โซมันก็คนเหมือนกัน มีเหมือนๆกันล่ะวะ ไม่เหมือนตรงที่มันใช้งานได้ไม่ดีเท่ากันเท่านั้นแหละ” พูดเสร็จก็ตัดสายทันที ณฤดีนิ่งงันเหมือนช็อกนิดๆ ใจนั้นสังหรณ์เต็มที่...สมปองสังเกตสีหน้าเจ้านายแล้วก็อดบ่นไม่ได้
“คุณผู้หญิง...ฟังมันทำไมคะ”
ณฤดีไม่ว่ากระไร นอกจากบอกให้สมปองไปจัดอาหารกลางวันเผื่อคุณเด่นจันทร์ด้วย แล้วพอถึงเวลาแขกมา สมปองก็รับหน้ารายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที เด่นจันทร์จึงไปซักต่อจากณฤดีอีกที แถมยังหลุดปากเพราะคลางแคลงใจว่า มีเมียหลวงก็ต้องมีเมียน้อย มันต้องทำใจ
“แปลกนะเด่น เสียงเขาเนี่ยฉันคุ้นมาก มันมีกังวานปลายเสียงที่ฉันว่าฉันเคยได้ยิน”
“งั้นก็นึกสิว่าใคร”
“นึกแล้ว...ไม่รู้ นึกไม่ออก”
“คนเราเสียงคล้ายๆกันมีเยอะแยะไป ไม่งั้นเขาจะเล่นเลียนเสียงดาราได้เหรอ”
“เด่น...ฉันสังหรณ์ใจ”
“ว่าจะเป็นผู้หญิงอีกคนของคุณใหญ่”
ณฤดีไม่ตอบแต่นัยน์ตายอมรับชัดๆ เด่นจันทร์จึงซักว่าคุณใหญ่มีพิรุธอะไร เขากลับบ้านผิดเวลา พูดไม่จริง หลอกเราเรื่องโน้นเรื่องนี้...ณฤดีตอบด้วยความมั่นใจว่าไม่มี
“งั้นก็เลิกคิด เอาไว้ให้มีเสียก่อน”
“แล้วผู้หญิงในโทรศัพท์”
“สำคัญที่สามีเรา ผู้หญิงเป็นร้อยอาจมารุมรักเขาก็ได้ แต่คนของเราไม่ตอบสนองซะอย่าง”
“แต่เมื่อกี้เธอพูดว่ามีเมียหลวงก็ต้องมีเมียน้อย ไม่ใช่ เธอจะบอกอะไรฉันหรือเด่น”
“เปล่าหรอก”
“อ้าว...แล้วพูดทำไม”
“บอกตัวเอง เพียงแต่ยังไม่ได้นับเท่านั้นว่าเมียน้อยของสามีฉันน่ะมีกี่คน รู้แต่ว่าที่แสบที่สุดคือนังเรยา เสียไปตั้ง 20 ล้าน ไม่รู้ว่ามันหลุดจากสินไปเกาะใครอยู่”
ณฤดีเงียบไป แต่หน้านิ่วคิ้วขมวดไม่สบายใจเอาเสียเลย
ooooooo
ที่บ้านเจ้าสัวเชง ซิลเวียพยายามจะฝ่าด่านอาจิว เข้าไปหาเจ้าสัว แต่ไม่สำเร็จแถมยังถูกอาจิวต่อว่าเพราะเธอนั่นแหละที่ทำให้นายท่านไม่สบาย...
แล้ววันนั้นทั้งวันเจ้าสัวก็นอนซมอยู่แต่ในห้อง จนกระทั่งค่ำได้ยินเสียงเพลงไพเราะของโรสเมียคนที่สามซึ่งเสียชีวิตไปแล้วดังแว่วมา เขาลืมตาขึ้นมองหาทั่วห้องแต่ไม่พบเห็นเธอ มีเพียงเสียงเพลงที่ยังคงก้องกังวาน
เจ้าสัวลุกจากเตียงนอนเปิดประตูห้องเดินตามเสียงเพลงนั้นออกไปนอกบ้าน ตรงไปทางบ่อลึกต้องห้าม แต่ด้วยสังขารที่ย่ำแย่จึงเหนื่อยหอบมากขึ้นทุกที พอใกล้ถึงบ่อพลันเสียงเพลงก็เงียบหาย
“อาเหม่เกว่...ลื่ออยู่ไหน ลื่ออยู่ไหนอาเหม่เกว่” เจ้าสัวหันมองรอบตัว
“อั้วอยู่นี่...” มีเสียงตอบกลับทำให้เจ้าสัวตื่นเต้นเหลียวไปมา ปรากฏว่าเสียงนั้นสะท้อนก้องมาจากในบ่อ เจ้าสัวจึงสืบเท้าเข้าใกล้ปากบ่อ ชะโงกลงไปเห็นใบหน้าโรสเศร้าหมองลอยอยู่เหนือน้ำ
“อาเหม่เกว่...” เจ้าสัวครางเสียงแหบพร่า
“นาย....นายปล่อยอั้วหนาวอยู่ในบ่อนี้นานแล้วนะ ไหนว่ารักอั้วคนเดียวไง ทำไมทิ้งอั้ว อั้วหนาว อั้วว้าเหว่ อยู่ในนี้มันมืด มันแคบนะนาย นายไม่รักอั้วแล้วหรือ”
“รักสิ...อั้วรักลื่อคนเดียว ชีวิตอั้วขาดลื่อไม่ได้ ลื่อกลับมาหาอั้วสิ...กลับมา” เจ้าสัวยื่นมือสุดแขนลงไปในบ่อเพื่อจะช่วยฉุดโรสขึ้นมา
“อั้วดีใจที่ได้ยินนายพูดแบบนี้” โรสยิ้มหวานสดใส แต่ครู่เดียวใบหน้าสวยๆของเธอก็เปลี่ยนเป็นเน่าเฟะ ดวงตาเป็นโพรงลึก ริมฝีปากเต็มไปด้วยหนอนยั้วเยี้ย หัวเราะออกมาอย่างยินดีปรีดา เจ้าสัวถึงกับผงะ นัยน์ตาเหลือกลานด้วยความตกใจสุดขีด แล้วหัวใจวายสิ้นใจตายอยู่ตรงนั้น...
ooooooo
การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเจ้าสัวไม่มีใครในบ้านรู้เห็นเลยสักคน จนกระทั่งฟ้าสาง คำแก้วเป็นคนแรกที่ออกมาพบศพเจ้าสัว ตามมาด้วยเยนหลิงที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของคำแก้วที่ตกใจกลัวตัวเนื้อสั่น แต่เยนหลิงกลับตะโกนโหวกเหวกกล่าวหาว่าคำแก้วคือฆาตกร
“อีคำแก้วฆ่านาย...แกฆ่านาย...นังฆาตกรโรคจิต”
อาอึ้มเดินกึ่งวิ่งเข้ามาเห็นศพเจ้าสัวก็ตกใจแทบช็อก แล้วพยายามขัดขวางเยนหลิงที่จะทุบตีทำร้ายคำแก้ว...
หลังจากทุกคนในบ้านทราบเรื่องต่างพากันตกใจและเสียใจ แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจและเจ้าหน้าที่มารับศพไปดำเนินการตามขั้นตอนก่อนจะนำกลับมาทำพิธีทางศาสนาต่อไป
พอรถพยาบาลเคลื่อนศพออกจากบ้านไปแล้ว ก้องเกียรติ เดินกลับมาหาเม่งฮวยที่ร่ำไห้จนตัวโยน ลูกชายกอดแม่ปลอบโยน กรองกาญจน์กับณฤดีกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ขณะที่บ่าวทุกคนก็ยืนตาแดงๆ
จู่ๆเยนหลิงที่ยืนน้ำตานองหน้าก็ประกาศเสียงดังฟังชัดขึ้นมาจนทุกคนหันมองเธอเป็นตาเดียว
“นังคำแก้วฆ่านาย...มันทำยังไงไม่รู้ แต่มันอยู่ตอน
ที่นายตาย มันต้องเป็นคนฆ่าแน่ๆ”
อาอึ้มกอดคำแก้วไว้ในอ้อมแขนและพร้อมที่จะปกป้องเธอทุกเมื่อ ถ้าเยนหลิงจะเข้ามาทำร้ายเธออีก แต่ก้องเกียรติไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์นั้น เขาเดินเข้ามาปรามเยนหลิงทันที
“พอเถอะครับคุณนายที่สอง ไม่มีใครรู้ความจริงว่าอาเตียตายเพราะอะไร”
“นั่นสิคะ” กรองกาญจน์เห็นด้วยกับพี่ชาย อธิบายเสริมว่า “รูปการณ์บอกแค่เพียงคุณนายที่สี่อยู่กับศพของอาเตีย อาเตียอาจจะตายก่อนคุณนายที่สี่มาเห็นก็ได้ ถ้าคุณนายคิดว่าใครก็ตามที่อยู่กับศพคือคนฆ่า ถ้าเผอิญฉันหรือพี่ชายใหญ่อยู่มิต้องเป็นคนฆ่าพ่อตัวเองหรือคะ”
“แต่ฉันรู้ว่าเป็นเพราะนังคนนี้ นังคนบ้า คนเสียสติมันทำนายตาย”
“คุณนายครับ ผมขอให้หยุด ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องนี้ อาเตียจากไปแล้ว จะไปด้วยวิธีใด รู้ขึ้นมาจะมีประโยชน์ อะไร”
“มีสิ ก็มันฆ่าคนแถมเป็นบ้าด้วย มันต้องไปอยู่โรงพยาบาล...โรงพยาบาลบ้า”
ได้ยินคำว่าโรงพยาบาลบ้า คำแก้วร้องหวีดหวาดกลัวเพราะเคยโดนเยนหลิงขู่อยู่หลายครั้ง
“ผมบอกให้หยุด!” ก้องเกียรติขึ้นเสียงใส่เยนหลิง
“ทำไม...ห่วงมัน หรือรักมัน”
ขาดคำเยนหลิง ทุกอย่างเงียบกริบ แต่ดวงตาทุกคู่จ้องมองก้องเกียรติ นัยน์ตาณฤดีมีแววสงสัยบางเบา เม่งฮวยรีบเข้าแก้สถานการณ์
“ลื่อพูดจาซี้ซั้ว อึ้มพาคุณนายที่สี่กลับไปห้อง”
อาอึ้มรับทราบคำสั่ง แต่ตอนนี้โกรธเยนหลิงจนอดใจไม่ไหวแล้ว
“ลื่อเป็นคนใจร้ายใจดำเหมือนอีกา คนเสียสติอย่างอีเหรอจะทำให้คนตาย ลื่ออย่ามาโยนขี้ใส่อี...แต่ถ้าใครว่าลื่อเป็นคนทำให้อานายท่านตาย อั้วจะเชื่อทันทีเลย”
เยนหลิงตาลุกวาวปราดถึงตัวอาอึ้ม เงื้อสุดแขน คำแก้วตกใจร้องวี้ดแล้วเข้าจิกตีเยนหลิงพัลวัน แต่ถูกเยนหลิง ผลักกระเด็นเกือบล้มถ้าก้องเกียรติเข้ามาคว้าตัวไว้ไม่ทัน
คำแก้วร้องไห้อย่างขวัญเสีย อาอึ้มเข้ามาปลอบคำแก้ว และต่อว่าเยนหลิงอย่างเหลือทน
“ไม่ร้อนบ้างเหรอฮะอาคุณนาย ลื่อมันจุดไฟเผาตัวเองตลอดเวลา”
“อีซิ้มปากดี เดี๋ยวเหอะแก” เยนหลิงเงื้อง่า แต่ไม่กล้า เพราะเห็นสายตาแข็งกร้าวของก้องเกียรติ ที่สุดเธอก็สะบัดหน้าพรืดเดินผ่านสายตาเย็นชาของทุกคนจนไปหยุดตรงหน้าเง็ก สั่งเสียงเฉียบ
“นังเง็ก ไปเดี๋ยวนี้!”
เง็กหน้าละห้อยเดินตามนายของตนไป...แล้วเม่งฮวยก็สั่งการเรื่องงานศพให้ลูกชายลูกสาวช่วยกันจัดให้สมเกียรติอาเตีย ณฤดีอาสารับผิดชอบเรื่องดอกไม้ทั้งหมด เม่งฮวยขอบใจลูกสะใภ้แล้วหันไปทางอาจิวที่ยืนหน้าเศร้า
“จิว...อานายท่านเคยพูดเรื่องฮวงซุ้ยไว้มั่งมั้ย”
“อานายท่านซื้อที่ไว้แล้วครับ ข้างหน้าเป็นน้ำ ข้างหลังเป็นภูเขา ถูกต้องตามตำราครับอาคุงนายใหญ่”
เม่งฮวยพยักหน้าช้าๆ ก่อนประกาศให้ทุกคนรับทราบตรงกันว่า
“ต่อไปนี้...คุณชายใหญ่จะเป็นประมุขของบ้านแทนอานายท่าน”
ทุกคนโน้มตัวคำนับด้วยความยินดี แม้แต่อาอึ้มก็ยังสอนให้คำแก้วทำตามด้วย หลังจากนั้นก้องเกียรติและกรอง– กาญจน์ขึ้นไปบนห้องเจ้าสัว พี่น้องมองรอบห้องบิดาอย่างอาลัย ก่อนพูดคุยกันถึงเกียรติกรหรือตี๋เล็ก
“พี่ชายใหญ่...จะบอกน้องตี๋เล็กมั้ย”
“หมวยใหญ่ว่าไงล่ะ”
“ความจริงคือต้องบอก แต่หนูกลัวอย่างเดียว น้องตี๋เล็กจะไม่ยอมมา ถ้าเป็นอย่างงั้นอาม้าคงโกรธน่าดู”
“แต่พี่เชื่อว่าตี๋เล็กต้องมา” สีหน้าและแววตาของพี่ชายมั่นใจมาก
ooooooo
ที่โอ๊กแลนด์...เกียรติกรทราบข่าวบิดาแล้วใจหายเหมือนกัน เขากำลังเตรียมตัวจะกลับเมืองไทย จู่ๆเรยาก็โผล่พรวดเข้ามาในบ้าน มองกระเป๋าเดินทางของเขาด้วยความแปลกใจสงสัย
“ซีเค คุณจะไปไหน”
เขาไม่ตอบ แต่เดินหนีหายเข้าไปในห้องล็อกประตูทันที ไม่สนใจเสียงเรยาร้องเรียกแล้วกลายเป็นเสียงร้องไห้ดังขึ้นมาแทน สักพักเสียงนั้นก็เงียบหาย พอเขาเปิดประตูออกมาปรากฏว่าเธอหลับคาโซฟา ใบหน้ามีคราบน้ำตาเลอะเทอะ
ชายหนุ่มเดินมานั่งมองเธอใกล้ๆ สีหน้าเขาสับสน ทั้งเจ็บ เสียใจ และแค้นใจ...ไม่ทันที่เขาจะคิดหรือทำอะไรต่อไป เรยาลืมตาขึ้นมาเห็นเขาอยู่ตรงหน้าก็โผเข้ากอดเต็มแรง
“ซีเค...คุณจะไปไหน”
เขาตอบห้วนๆว่าไปธุระ พอถูกซักต่อว่าธุระอะไร เขาเน้นเสียงหนักๆว่า “ส่วนตัว” แต่เรยาก็ยังเร่งเร้าเซ้าซี้อีก
“ที่ไหน...ไปที่ไหน”
“ที่ที่ผมต้องไปน่ะสิ”
“ที่ไหนล่ะ ฉันไปด้วยได้มั้ย”
“สามีกับลูกคุณล่ะ”
เรยาอึ้ง...ความผิดหวังประดังขึ้นมาจนแน่นอก เปล่งเสียงร้องไห้ออกมา
“คุณไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ คุณก็รู้ว่าเราตามใจตัวเองไม่ได้ มันยังไม่ถึงเวลา”
“คุณจะทรมานฉันไปถึงไหน ฉันบอกคุณหมดแล้วว่าชีวิตฉันเป็นยังไง คุณไม่เห็นใจฉันเลยหรือซีเค”
“เรยา...คุณคิดดูให้ดี มันจะเป็นไปได้ยังไง คุณมีสามี มีลูก อย่าให้ผมดูถูกตัวเองที่ต้องเป็นชู้กับเมียคนอื่น”
“เขาไม่ใช่ผัวฉัน! เขาหลอกทำลายฉัน แกล้งให้ฉันมีลูก ฉันชอกช้ำขนาดนี้ คุณไม่สงสารฉันบ้างเลยหรือ”
“เขาจะไม่ใช่สามีคุณได้ยังไง เขายังเลี้ยงดูคุณ มีสิทธิ์ ทุกอย่างในบ้านคุณ คุณจำไม่ได้หรือ ผมไม่เคยได้เหยียบเข้าไปในบ้านคุณ คุณบอกคุณรักผม แต่เมื่อผมจะไปบ้านคุณ ทำไมคุณไม่ให้ไปล่ะ”
เรยาเถียงไม่ออก มองเขาด้วยสายตาวิงวอน แต่กลับได้ยินถ้อยคำทำร้ายจิตใจรุนแรง
“คุณอยากมีชู้...แต่ผมไม่ยอมเป็นชายชู้คนนั้น!!”
เรยาตะลึงงัน มองตามชายหนุ่มที่เธอรักหิ้วกระเป๋าก้าวเดินออกจากบ้าน
“ถ้าฉันไม่มีเขา...ไม่มีลูก” เสียงของเธอดังไล่หลัง...แต่มันไม่บังเกิดผลดีใดๆเลย นอกจากสายตาเย็นชาของเขาที่หันกลับมามองเพียงอึดใจเดียว แล้วก็เดินจากไป...
ooooooo
เรยาผิดหวังเสียใจกลับมาหมกตัวในห้องนอนที่บ้านตัวเอง ไม่สนใจเสียงโทรศัพท์ที่ดังแว่วอยู่ด้านนอก จนกระทั่งแอนนาเดินเข้ามาส่งกระดาษแผ่นหนึ่ง ให้กับมือ
“ผู้ชายคนนี้โทร.มาหลายครั้งแล้ว ฉันเห็นคุณอารมณ์ไม่ดี”
“ขอบใจ” ดูชื่อและเบอร์โทร.ในกระดาษแผ่นนั้นแล้วเกิดรอยยิ้มในหน้าทันที เพราะเป็นนัทนั่นเอง เมื่อเรยา โทร.ย้อนกลับไปหานัท ถามว่ามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า ปรากฏว่านัทตอบมาเสียงแหบแห้งผสมเสียงหายใจครืดคราดเหมือนคนไม่สบาย
“ไม่มี...เห็นฟ้าหายเงียบไปนาน คิดถึง เป็นยังไงมั่ง มีอะไรรึเปล่า”
“ก็...มีเรื่องนิดหน่อย เอ๊ะนัท นัทเป็นอะไร ทำไมเสียงเป็นงั้นล่ะ”
“ไม่...ไม่สบายนิดหน่อย ไม่เป็นไร ซื้อยามากินแล้ว ยาเหมือนที่ฟ้าเคยซื้อให้นั่นแหละ”
“นัท...นั่นเสียงหายใจเหรอ ทำไมมันดังฮืดๆอย่างนั้นล่ะ”
“เดี๋ยวก็หาย ไม่เป็นไรหรอกฟ้า...นัทคิดถึงฟ้านะ ลูกชายฟ้าสบายดีมั้ย โตแล้วสิสามเดือนแล้วนี่”
“อ๋อใช่ สามเดือนกว่าจะสี่เดือน กำลังน่ารักเลย ฟ้าส่งรูปให้นัทดูแล้วไง”
“ฟ้าเลี้ยงเองเหรอ”
“เลี้ยงเองสิจ๊ะ”
“ให้นมเค้ากินรึเปล่า”
“ให้สิ ฟ้ารู้หรอกน่าว่าเด็กกินนมแม่น่ะจะแข็งแรง”
“ดี...นัทดีใจนะ ฟ้ามีความสุขแล้วใช่มั้ย...” นัทเสียงแย่มากจนเรยาตกใจ ถามระรัวด้วยความเป็นห่วง...แต่นัทเหนื่อยมากจนหายใจติดขัด รีบตัดบท “เท่านี้นะฟ้า โชคดี คิดถึงฟ้านะ”
“นัทๆ นัทเป็นอะไร” เรยาเสียงหลง แต่นัทวางสายไปแล้ว พอกดกลับไปอีกนัทก็ไม่รับ นั่นยิ่งทำให้เรยากระวนกระวายด้วยความเป็นห่วง
ooooooo
ที่บ้านเจ้าสัว...เยนหลิงนั่งซึมเศร้าอยู่ในห้อง นับวันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหมือนตัวคนเดียวโดดเดี่ยว มีลูก ก็เหมือนไม่มี แถมตอนนี้เจ้าสัวก็มาตายจากไปอีกคน
เม่งฮวยเดินมาหยุดยืนหน้าห้อง เคาะประตูก่อนจะเปิดเข้ามาถามเยนหลิงว่า
“ลื่อจะไม่ไปงานศพเหรอ อาคุงนายที่สอง”
“ไม่ไป ไม่อยากไป”
“ทำไมไม่ไป ทำไมไม่อยากไป”
“มันเรื่องของฉัน คุณนายใหญ่จะถามทำไม”
“ถ้าคนเขาถามถึงลื่อล่ะอาเยนหลิง”
“บอกไปเลยว่าฉันตายไปแล้ว”
“อั้วไม่โกหก ถ้ามีคนถาม อั้วจะตอบว่าลื่อไม่อยากมา พวกอีก็จะคิดว่าลื่อน่ะคงมีเรื่องกับนาย ขนาดนายตายไปแล้วยังไม่รู้จักอโหสิ ลื่อไม่มีอะไรดีเลย”
เยนหลิงชะงัก ชักสีหน้าไม่พอใจกับคำพูดตอกย้ำนั้น แต่เมื่อชั่งใจดูแล้วเยนหลิงก็เตรียมตัวไปงานศพเจ้าสัวพร้อมเครือญาติ...
แต่คนที่ก้องเกียรติและกรองกาญจน์รอคอยยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมา จนในคืนสุดท้าย กรองกาญจน์รู้สึกไม่พอใจถึงกับเอ่ยปากกับพี่ชายใหญ่ว่า
“ตี๋เล็กเขาไม่มาจริงๆด้วย”
“ไม่เป็นไรหมวยใหญ่ ยังมีเวลาทำให้ตี๋เล็กเข้าใจได้อีกนาน”
“แต่นี่งานอาเตียนะ เขาควรจะมาเป็นครั้งสุดท้าย เรื่องอะไรที่ไม่พอใจก็น่าจะเก็บไว้ก่อน ยังไงก็ควรมาส่งพ่อไปสวรรค์”
พูดขาดคำ ได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามาทางหน้าตึก สองพี่น้องหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นใครลงมาจากรถแท็กซี่ รอยยิ้มของสองพี่น้องก็ผุดพรายขึ้นมาทันที
“ตี๋เล็ก...พี่ดีใจจริงๆ” กรองกาญจน์เข้าไปกอดน้องชาย
“ขอโทษนะครับที่มาช้า นี่เป็นไฟลท์ที่เร็วที่สุดแล้วครับ”
“ไม่เป็นไร ยังทัน พรุ่งนี้มีพิธีกงเต๊ก ขอบใจมากนะตี๋เล็กที่กลับมา” ก้องเกียรติตบไหล่น้องชาย ส่วนพี่สาวกุลีกุจอจูงมือน้อง
“เดินทางมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ พี่ให้คนเขาทำความสะอาดห้องเธอไว้แล้ว”
“ขอบคุณครับ แต่คืนนี้ผมขอนอนห้องอาม้าผมได้มั้ยครับ”
กรองกาญจน์ชะงัก ก้องเกียรติเองก็นิ่งไปอึดใจก่อนจะพยักหน้าตามใจน้องชาย...เมื่อขึ้นไปที่ห้องแม่บนชั้นสามซึ่งสภาพยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เกียรติกรยิ่งคิดถึงแม่...และคิดถึงพ่อขึ้นมาเมื่อเห็นภาพถ่ายของเขาในวัยเด็กกับพ่อ...พ่อที่เขาแทบไม่เคยได้ใกล้ชิดคลุกคลี แต่เวลานี้พ่อจากไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันกลับ...
ooooooo
หลังจากเสร็จงานศพเจ้าสัว เกียรติกรมีโอกาสได้พบคำแก้ว และแนะนำตัวกับเธอว่าเขาเป็นหมอ แม้เธอจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม แต่เธอก็มีรอยยิ้ม แจ่มใสให้เขา
“ผมจะรักษาคุณนายที่สี่นะครับ คุณนายที่สี่จะหายอย่างแน่นอน”
อาอึ้มกับก้องเกียรติที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ส่งยิ้มให้กันด้วยความดีใจ
“ผมมองนัยน์ตา ยังมีความรู้สึก...ไม่เลื่อนลอยครับพี่ชายใหญ่ ยัง Focus และยังมี Eye contact กันครับ”
“พี่ดีใจมากที่ได้ยินอย่างนี้ ขอบใจเธอมากตี๋เล็ก” พูดจบหันไปหาคำแก้ว เรียกชื่อเธออย่างอ่อนโยน...คำแก้วยิ้มเป็นมิตร นิ่งฟังคำพูดของเขา “คำแก้ว...หมอจะรักษาคนไข้คนแรกของเขาอย่างสุดฝีมือ...เธอต้องหาย ฉันจะภาวนาทุกวันทุกคืนให้เธอหาย”
คำแก้วเพ่งมองก้องเกียรติ...แล้วรอยยิ้มพลันเหือดหายกลายเป็นความหวาดกลัว วิ่งร้องไห้เข้าไปหลบหลังอาอึ้ม...
เกียรติกรเฝ้ามองปฏิกิริยาของคำแก้วที่มีต่อก้องเกียรติ ตลอดเวลา แล้วตัดสินใจตั้งคำถามกับพี่ชายขณะเดินกลับมาที่ตึกใหญ่ด้วยกัน
“พี่ชายใหญ่ครับ การรักษาจะได้ผลมาก ถ้าได้ข้อมูลที่เป็นจริง ผมอยากทราบความสัมพันธ์ของพี่ชายใหญ่กับคุณนายที่สี่”
ก้องเกียรตินิ่งไปราวกับลำบากใจที่จะพูด แต่เมื่อเห็นสายตาของน้องที่เหมือนตอกย้ำว่าสำคัญ เขาจึงต้องบอก
“ความสัมพันธ์ของพี่กับเธอมันเริ่มต้นจากความสงสารที่มีให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังเด็กมาก แต่ต้องมาเป็นภรรยาของผู้ชายอายุ 60 ทั้งที่เธอไม่เต็มใจ จนกลายเป็นความรู้สึกอาทรห่วงใย อยากจะให้เธอเป็นสุขอย่างแท้จริง...แต่เธอเป็นภรรยาของพ่อ พี่จึงต้องเก็บความรู้สึกนี้ไว้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเพียงแต่คิดก็ผิดแล้ว ถึงพี่จะห้ามความคิดห้ามไม่ได้ แต่พี่ขอรับรองว่าไม่มีอะไรที่มากกว่าความคิด...ไม่เคยมี”
“คุณนายที่สี่ล่ะครับ เธอรับรู้ความรู้สึกของพี่ชายใหญ่หรือเปล่า”
“เธอก็น่าจะเดาออกว่า คำแก้วจะถูกต้อนรับในฐานะคุณนายที่สี่จากอาม้าและคุณนายที่สองยังไง มันยิ่งทำให้เธออ้างว้าง ว้าเหว่ นอกจากอาม้าของเธอและอาอึ้ม พี่จึงกลายเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของเธอ”
“แต่...แต่เธอกลัวพี่ชายใหญ่ ไม่ใช่ความเกลียด ไม่ใช่ ความผิดหวัง ไม่ใช่ความต่อต้าน แต่เป็นความกลัว พี่ชายใหญ่ ทำอะไรให้เธอกลัว เป็นไปได้ไหมครับว่าอาจเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้สติสัมปชัญญะของเธอ...ขาดหายไป”
ฟังน้องชายวิเคราะห์แล้ว พี่ชายถึงกับอึ้งงันไปทันที
ooooooo
เมื่อเกียรติกรเตรียมเดินทางกลับโอ๊กแลนด์ในวันรุ่งขึ้น กรองกาญจน์ออกอาการไม่ชอบใจ เพราะยังอยากให้น้องชายอยู่ต่ออีกสองสามวัน แต่พอได้ยินเขาบอกเหตุผล ทั้งพี่สาวพี่ชายก็แทบไม่เชื่อหู
“พี่ชายใหญ่ พี่หมวยใหญ่ ขอผมกลับไปสักเดือนหนึ่ง แล้วผมจะกลับมาอยู่เมืองไทยตลอดไป”
“จะยกเลิกสัญญาจ้างได้หรือตี๋เล็ก”
เกียรติกรบอกว่าได้แน่นอน ไม่มีปัญหา แล้วก็อธิบายรายละเอียดเรื่องสัญญาจ้างของทางโรงพยาบาลจนพี่ๆเข้าใจ แต่พี่สาวเกิดมีข้อข้องใจอีกนิดว่า
“สรุป...เธอจะไม่อยู่เมืองนอกแล้ว มีเหตุผลมั้ย”
“นอกจากเหตุผลส่วนตัวของผมแล้ว ผมจะกลับมารักษาคุณนายที่สี่ เพราะผมไม่ทราบว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน”
กรองกาญจน์พยักหน้าแล้วเดินแยกไปด้วยความสบายใจ...พออยู่กันตามลำพังที่หน้าตึก เกียรติกรมองหน้าพี่ชายแล้วเปรยขึ้นมาว่า
“พี่ชายใหญ่ครับ...ผมหวังว่าจะมีทางออกนะครับ”
ก้องเกียรติชะงักเล็กน้อยเพราะทราบดีว่าน้องชายหมายถึงเรื่องอะไร เขาถอนใจออกมาก่อนตอบอย่างหนักใจว่า “พี่ไม่รู้”
“ผมไปหาหลานชายมาแล้ว...เขาน่ารักมาก”
“พบเรยารึเปล่า”
“พบครับ เขาไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ผมไม่ได้บอก”
“อ้าว...บอกสิ เขารู้จักตี๋เล็กนะ พี่พูดถึงบ่อยๆ”
“ไม่เป็นไรครับ เรายังไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน ผมยังยอมรับไม่ค่อยได้ว่าเขาเป็นพี่สะใภ้คนหนึ่ง ยอมรับไม่ได้จริงๆ”
“พี่เข้าใจ...พี่ไม่น่าผิดพลาดอย่างนี้เลย อาเตียน่าจะเป็นแซ่เชงคนสุดท้ายที่มากเมียจนมีแต่เรื่องร้ายๆ ขอโทษด้วยตี๋เล็ก”
เกียรติกรไม่ว่ากระไรอีก แต่ใบหน้าเขาขรึมเศร้าเมื่อนึกถึงความเลวร้ายหลอกลวงของเรยา
ooooooo