ตอนที่ 14
หลายครั้งหลายคราที่เรยาทำให้เกียรติกรแปลกใจสงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมให้เขาไปส่งที่บ้าน ทั้งๆที่เธอเองก็พร่ำบอกว่ารักเขาชีวิตเธอไม่ให้ใครแล้ว นอกจากเขาคนเดียว และตัวเขาเองก็แสดงออกถึงความจริงจังจริงใจต่อเธอทุกครั้งที่พบกัน
เช่นเดียวกับวันนี้ เกียรติกรจริงจังถึงกับเอ่ยปากกับเรยาว่า วันไหนที่เขาแน่ใจว่าเธอไม่มีใคร เขาจะแต่งงานกับเธอ เรยาฟังแล้วซึ้งใจมาก แต่พอเขาจะขอไปส่งเธอที่บ้าน เรยาก็ปฏิเสธเขาอีกเหมือนเคย...
ด้านก้องเกียรติกับณฤดีที่ตอนนี้กลับมารักและเข้าใจกันดีเหมือนเดิม แต่จู่ๆเช้านี้ณฤดีก็ทำให้ก้องเกียรติสะดุ้งวาบ หน้าเจื่อนไปโดยไม่ตั้งใจ
“คุณใหญ่คะ เมื่อไหร่จะพาดี๋ไปเที่ยวโอ๊กแลนด์บ้างล่ะคะ”
เขาตอบไม่ถูก เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเจอคำถามนี้จากภรรยา จนกระทั่งเธอสังเกตสีหน้าและถามเขาว่าเป็นอะไร ทำไมทำหน้าเหมือนมีอะไรไม่ถูกต้องที่โอ๊กแลนด์ เขารีบตอบทันทีว่า ถ้าจะมีก็เรื่องงาน งานมีปัญหายุ่งยากพอสมควร แต่เคลียร์เรียบร้อยแล้ว
“ถ้างั้นก็ไปเที่ยวได้สิคะ”
“ครับ ถ้าผมเคลียร์หมดทุกอย่างจะพาคุณดี๋ไป” เขาหมายรวมถึงเรื่องเรยากับลูก แต่ณฤดีไม่ได้ติดใจอะไรอีก นอกจากอยากไปเที่ยว และว่าถ้าได้ไปจริงๆ จะชวนเด่นจันทร์กับสินธรไปด้วย
ตกเย็นกินข้าวที่บ้านด้วยกัน ณฤดีพูดคุยกับสามีเรื่องตี๋เล็กน้องชายของเขา ทราบว่าเรียนจบแล้ว และคงจะรีบกลับมารักษาคุณนายที่สี่ ก้องเกียรติเองก็คิดเช่นนั้น แล้วก็หวังด้วยว่าตี๋เล็กจะรักษาคุณนายที่สี่ให้หาย เธอจะได้ไม่ต้องอยู่ในโลกที่อ้างว้างว้าเหว่ไปตลอดชีวิต
หลังจากคุยกับภรรยาในเย็นนั้นแล้ว...เช้าวันรุ่งขึ้นก้องเกียรติก็รีบไปบอกเรื่องนี้กับอาอึ้มที่กำลังซักผ้าอยู่กับคำแก้ว อาอึ้มตื่นเต้นดีใจมากอยากให้คุณชายเล็กมาเร็วๆ คุณนายที่สี่จะได้หายเป็นปกติเสียที
เมื่อเสร็จธุระแล้วก้องเกียรติจึงลาอาอึ้ม แต่ไม่ทันจะก้าวพ้นไปก็สวนกับเยนหลิงที่เดินตรงดิ่งเข้ามา
“จะกลับแล้วหรือคะคุณชายใหญ่” เยนหลิงทักถาม
แต่ไม่ได้คำตอบจากก้องเกียรติ เขาเพียงแค่มองเธอนิดเดียวแล้วออกเดินต่อ เยนหลิงไม่พอใจกับท่าทีของเขาอย่างมากรีบดึงแขนคำแก้วมาถามคาดคั้นว่า เธอรักคุณชายใหญ่มากใช่ไหม
อาอึ้มตกใจ ต่อว่าเยนหลิงถามอะไรอย่างนั้น ส่วนก้องเกียรติที่ได้ยินชัดก็หันมามองเยนหลิงด้วยความไม่พอใจ แต่เยนหลิงหาได้หวั่นเกรง ยังจงใจจะเอาคำตอบจากคำแก้วให้ได้ อาอึ้มทั้งห้ามทั้งต่อว่าเธอก็ไม่หยุด แถมยังจิกด่าไม่สนหัวหงอกหัวดำ ก้องเกียรติเลยต้องเดินกลับมา
“คุณนายที่สอง มีอะไรหรือครับ”
เยนหลิงไม่ทันได้ตอบ อาอึ้มที่รู้ฤทธิ์เดชของเยนหลิงดีก็ชิงบอกคุณชายใหญ่ให้รีบกลับไป
“ทำไมฉันต้องรีบไปอาอึ้ม ฉันคิดว่าคุณนายที่สองสิต้องรีบไป”
เยนหลิงเจ็บใจที่โดนเขาไล่ซึ่งหน้า กรีดเสียงโต้ทันที “ฉันไปก็ได้ แต่ขอถามคำแก้วอีกครั้งนะว่า รักคุณชายใหญ่มากมั้ย”
“คุณนายเยนหลิง ผมขอให้คุณนายหยุดพฤติกรรมอย่างนี้เสียที ไม่ทราบหรือครับว่าเป็นการกระทำที่เลวมาก”
“ทำไม เลวยังไงก็ไม่เลวเท่าอีนางคนนี้หรอก ทั้งเลวทั้งผิดศีลธรรม ยังแต่คุณชายใหญ่เท่านั้นที่ยังสงสัยอยู่ว่าร่วมมือกันสวมเขาให้พ่อด้วยรึเปล่า”
ก้องเกียรติโกรธแต่ไม่ตอบโต้ หากแต่จ้องเยนหลิงด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลน เยนหลิงยืนสู้สายตา แต่ใจก็ตุ๊มๆต้อมๆเหมือนกัน เพราะไม่เคยฉะกับก้องเกียรติจริงจังแบบนี้ แล้วเยนหลิงก็เป็นฝ่ายเดินกลับออกไปด้วยสีหน้าเจ็บแค้นอาฆาต
ooooooo
ยังขุ่นมัวเรื่องเมื่อวานไม่หาย พอเช้าวันใหม่เยนหลิงยังต้องมาวุ่นวายใจกับเรื่องน้องชายอีกคน...เส่งพาสภาพซอมซ่อของตนมาขอพบเยนหลิง ตอนแรกเยนหลิงก็ทำท่าจะไม่นับญาติเพราะมีบางเรื่องที่ฝังใจ
“มาทำไมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันนมนานแล้ว ทาง... พ่อแม่เราเขาไม่บอกหรือว่า ไม่ต้องมาหาฉัน ไม่มาแสดงตัวว่าเป็นอะไรกับฉัน”
“อยากขอให้เจ้ช่วยสักครั้งเถอะ เจ้คี้ เฮียตัน เจ้เหลี่ยน ลำบากกันหมดทุกคน ลูกหลานแทบไม่มีจะกินแล้ว ช่วยพี่น้องสักครั้งเถอะนะเจ้หลิง” เส่งยกมือไหว้
“หยุด...อย่ามาอ้างพี่อ้างน้อง ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับพวกแกแล้วตั้งแต่วันที่...แม่แกขายฉันให้คนอื่นไป จะให้ฉันไปเป็นขี้ข้าเขา เงินที่ได้จากขายฉันล่ะ เขาก็เอาไปบำรุงบำเรอพวกแก คิดดูว่าพวกแกสุขสบายอยู่กับพ่อแม่พี่น้อง แต่ฉันต้องไปอยู่กับคนแปลกหน้า ทำงานงกๆให้เขา ดีว่าฉันใฝ่ดีทำตัวดีตั้งใจเรียนหนังสือ พยายามทำดีทุกอย่างให้เขาเมตตา แล้วเขาก็เมตตาฉันยิ่งกว่าพ่อแม่แท้ๆของฉันเสียอีก”
“แม่บอกว่าคุณนายทูตเขาเจาะจงตัวเจ้ แม่ไม่ได้อยากขายเจ้”
“หมายความว่ายังไง หมายความว่าแม่อยากขายคนอื่นงั้นเหรอ”
“ใช่ แม่อยากขายเจ้คี้หรือเจ้เหลี่ยน เพราะเจ้สวย น่ารักเขาถึงจะเอาเจ้”
“ฉันจะบอกแกให้นะเส่ง คนเป็นแม่น่ะไม่ควรจะอยากขายลูกคนไหนทั้งนั้น ไม่ต้องมาอ้างว่าอยากขายคนอื่น ไม่ต้องมาอ้างว่าเขาเจาะจงจะเอาฉัน”
เส่งนิ่งอึ้งไปไม่รู้จะพูดยังไงต่อ เยนหลิงสีหน้าอ่อนลงเพราะยังไงเส่งก็น้องชายแท้ๆ และสารรูปมันก็น่าสงสารเหลือเกิน
“พ่อตายแล้วอยู่กันยังไง”
คำถามของเยนหลิงทำเอาเส่งงงงันก่อนจะบอกเล่าความจริงว่าอาเตียยังไม่ตายแต่เป็นอัมพาตมาหลายปีแล้ว
“อาโกว...อีงูพิษ มันมาหลอกเอาเงินฉันไปตั้งหลายหน ให้ไปทีละเป็นหมื่น พวกแกไม่ได้กันเลยหรือ” เยนหลิงคำรามตาลุกวาว
“อาโกวไหน” เส่งซัก
“อีโกวตี้ อาเจ้ของเตียไง”
“โกวตี้ไม่ได้เป็นเจ้ของอาเตียนะเจ้ อีเป็นญาติห่างๆ เท่านั้น เจ้ให้เงินอีไปเหรอ มิน่าอีมีตังค์แยะใส่ทองเต็มตัว”
เยนหลิงแทบกระอักด้วยความแค้นโกวตี้ ถามเส่งว่าตอนนี้มันอยู่ไหน...เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว เยนหลิงก็บุกไปฉะโกวตี้ถึงร้านขายของชำ แล้วยึดเอาทั้งข้าวของเงินทองไปจนหมด ทำให้โกวตี้อาฆาตพยาบาทถึงกับตามมาแฉเยนหลิงในวันถัดมา
ผู้คนในบ้านเจ้าสัวเชงแตกตื่นพากันออกมาดูโกวตี้ที่ยืนตะโกนเรียกเยนหลิงอยู่หน้าบ้าน แต่กลายเป็นว่าเยนหลิงโผล่ออกมาเป็นคนสุดท้าย ยืนข้างเจ้าสัวที่กำลังไล่ส่งหญิงแปลกหน้า
“เฮ้ย ลื่อเป็นใครวะ มาส่งเสียงดังในบ้านอั้ว จิว บอกให้หยุดแล้วไล่ไป ถ้าไม่ไปเรียกตำรวจมาจับมัน”
โกวตี้ไม่สนใจใครอื่น แต่จิกสายตาอาฆาตไปที่เยนหลิงคนเดียว
“มาแล้วรึ...” โกวตี้เอ่ยได้แค่นั้นก็ชะงักเพราะถูกเยนหลิงแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“แกจะมาแต่งเรื่องอะไรขอเงินฉันอีกฮะอีซิ้มแก่... นายคะ มันชื่ออีตี้ เป็นคนแถวบ้านของคุณพ่อคุณแม่ตอนมาเป็นทูตอยู่เมืองไทย อาม้าอาเตียฉันเมตตาเรียกมาใช้อยู่เรื่อยๆ เงินทองก็ให้ประจำ นี่เป็นบ้าอะไรขึ้นมาฮะ”
“มาขอเงินน่ะสิไม่เห็นต้องสงสัย คุณนายสองจะให้เงินก็รีบให้ แล้วให้ไปพ้นๆ เสียงดังมาก ถ้าไม่ให้ก็ให้ใครไล่ไปเร็วๆ” เจ้าสัวสั่งเฉียบ แต่เม่งฮวยตั้งข้อสังเกตว่าเยนหลิงเป็นลูกทูตทำไมเกี่ยวข้องกับคนแบบนี้...ซิลเวียเพิ่งก้าวออกมา พอเห็นเจ้าสัวก็ยิ้มหวานปรี่เข้าหาอาสาจะพากลับห้อง เม่งฮวยเลยด่าเข้าให้ว่าดัดจริต
แล้วทุกคนก็ทำท่าจะกลับเข้าบ้าน แต่ต้องชะงักกับเสียงดังแหวกอากาศของโกวตี้
“อีเยนหลิง!”
คนอื่นๆตกใจหน้าตาตื่น เยนหลิงก้าวฉับๆจะมาเอาเรื่องโกวตี้
“มึงหยุดตรงนั้น...อีเยนหลิง” โกวตี้แผดเสียงจนเยนหลิงชะงักกึก “จะบอกให้นะ อีคนเนี้ยมันไม่ใช่ลูกทูตลูกแทดอะไรที่ไหนหรอก มันลูกไอ้คนขายหมูอยู่ในตลาดสามยอด ป้ามันเป็นคนใช้บ้านทูตสิงคโปร์ก็เอาอีหลานสาวไปรับใช้ด้วย เมียทูตชอบเด็กผู้หญิงขอไปเลี้ยง แล้วมันไปทำมารยาอีท่าไหนเขารักรับเป็นลูก มันก็เลยโกหกคนว่าเป็นลูกทูต ที่แท้ก็อีเด็กวิ่งแถไปแถมาอยู่ตลาด ขอขนมแม่ค้าในตลาดกินทุกวัน”
“โกหก....แกแต่งเรื่องโกหกนี้ทำไม” เยนหลิงสวนปากสั่น
“เรื่องจริงอานายท่าน อานายท่านถามท่านทูตสิ มันโกหกอานายท่าน”
คำพูดของโกวตี้ทำให้เจ้าสัว เม่งฮวย รวมทั้งคนอื่นๆ หันมองเยนหลิงเป็นตาเดียว
“ใครจะเชื่อก็ตามใจ ฉันบังคับไม่ได้ แต่ขอให้มองฉันให้ดีๆ ฉันเนี่ยเหรอลูกคนขายหมู คนเป็นถึงเอกอัครราชทูตจากประเทศศิวิไลซ์เขาจะรับลูกคนขายหมูเป็นลูกบุญธรรมหรือ ใครเชื่อนังซิ้มคนนี้ก็บ้าเต็มทีแล้ว ฉันเยนหลิงนะ คุณนายที่สองแซ่เชง มีอะไรที่จะให้เชื่อได้ว่าฉันเป็นลูกของเจ๊กขายหมูอย่างที่ผู้หญิงไร้สติคนนี้บอก”
“อั้วพูดจริง...ไม่โกหก พูดเรื่องจริงทุกอย่าง”
“ใครก็พูดได้ว่าไม่โกหก แต่เรื่องจริงมันต้องดูให้ดี แกกลับไปดีกว่าอย่าให้ถึงตำรวจเลย”
“เชื่ออั้วอานายท่าน คุณนายไปพังร้านอั้ว เอาของขายไปให้ชาวบ้านหมด แล้วยังเอาเงินอั้วให้น้องชายอีด้วย น้องชายอีชื่อเส่ง อาเจ้อีชื่ออาเหลี่ยนกับอาคี้”
เยนหลิงอึ้งไปนิด แล้วก็ยอมรับว่าคนเหล่านั้นมีตัวตนทั้งนั้น แต่ทั้งหมดคือคนที่พ่อแม่ของตนเคยสงสารและเคยช่วยเหลือ
“นี่...กลับไปเถอะ ถ้าไม่มีเงิน จิวให้เขาไปซักสี่ห้าพัน แล้วกลับไปไม่ต้องมาที่นี่อีก ถ้ามาอีกล่ะก็ถึงตำรวจแน่ๆ” เจ้าสัวสีหน้ารำคาญมาก เดินกลับเข้าบ้านไปเลย เยนหลิงจะก้าวตามแต่ไม่วายหันมายิ้มเยาะโกวตี้ที่ยังร่ำร้องบอกทุกคนว่าตนพูดความจริง
เมื่อไม่มีใครสนใจ โกวตี้คับแค้นใจถึงกับร่ำไห้ออกมา เม่งฮวยกำลังจะเดินไปรู้สึกข้องใจหันกลับมากระซิบถามโกวตี้ว่า
“นี่...อาตี้ ลื่อสาบานได้มั้ยว่าลื่อพูดจริง”
“อั้วสาบานให้เจ้าแม่กวนอิมลงโทษ”
“เจ้าแม่เป็นเทพมีเมตตา ช่วยเหลือคน ไม่ลงโทษคนหรอก”
“สาบานอะไรก็ได้” โกวตี้เสียงสั่นเครือ สายตาย้ำความจริง เม่งฮวยใจคิดเชื่อมากกว่าครึ่ง พยักหน้าช้าๆ หันกลับมาเปรยกับจิวที่ยืนถือเงินห้าพันอยู่ในมือ
“คนเราโกหกคนอื่นได้...โกหกตัวเองไม่ได้หรอก”
ooooooo
จริงดังคำกล่าวของเม่งฮวย...เยนหลิงกลับเข้าห้องด้วยความเครียดและความเศร้า ร้องไห้เงียบๆกับตัวเองอย่างขมขื่นแค้นใจ ทุกสิ่งอย่างทำให้ทั้งโกรธทั้งเสียใจไปหมด แม้แต่ลูกสองคนที่ไปเรียนเมืองนอกก็ไม่รัก ไม่อยากกลับมาหา แต่ทว่าเยนหลิงไม่เคยย้อนดูตัวเองเลยว่าเพราะอะไร
เวลานี้เธอทุกข์ใจไร้คนพึ่งพา ตั้งใจจะโทร.ไปขอกำลังใจหรือคำปลอบโยนจากลูกบ้าง แต่ลูกกลับไม่อยากคุยด้วยแถมยังตำหนิเธอว่าโทร.มาไม่รู้จักดูเวลาว่าดึกมากแค่ไหนแล้ว เยนหลิงเจ็บแปลบแทบกระอักกับคำพูดของลูกสาวคนโต เธออาละวาดอยู่สักพักจนลูกสาวทนไม่ไหวเป็นฝ่ายวางสายไปเสียเอง
เยนหลิงเองก็ทนไม่ไหวกับการกระทำของลูกสาว ร้องกรี๊ดสุดเสียงก่อนจะร่ำไห้น้ำตาทะลักทลาย เง็กได้ยินเสียงเจ้านายจึงเปิดประตูเข้ามาดู เป็นจังหวะที่เยนหลิงซวนเซหมดแรง เง็กรีบประคองเธอไว้ในอ้อมแขน และได้ยินเธอสะอึกสะอื้นพึมพำด่าลูกสาว
“มันเกลียดม้า...มันไม่รักม้า...อีลูกใจดำ อีลูกใจร้าย”
เง็กพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่รู้สึกเอือมระอามากกว่าความสงสาร แล้วอีกครู่ต่อมาเง็กก็ไประบายความอัดอั้นนานาให้บรรดาเพื่อนบ่าวด้วยกันฟัง
“เวลาอีด่าอั้ว...อั้วก็โกรธอี นึกในใจว่าอีเห็นอั้วเป็นคน...รึเป็นหมูเป็นหมา นึกจะด่าก็ด่า อั้วไม่มีหัวใจรึไง อั้วรับใช้อีมาตั้งสิบปียี่สิบปี ตั้งแต่สาวจนเหลาเหย่อย่างนี้ รับใช้อีตลอด รองมือรองตีน อีนึกจะด่าก็ด่า นึกจะตีก็ตี นึกจะปาก็ปา ถูกหัวถูกหางอีไม่เคยมอง อั้วยังนึกโกรธเตี่ยโกรธม้าว่าทีลูกชายเลี้ยงเอง ลูกสาวไปให้คนอื่นเขาโขกสับ คุณนายสองอีไม่เคยรักใคร อีรักแต่ตัวเอง”
“คุณหมวยใหญ่หมวยเล็กล่ะ อาเง็ก” ฮุ้งถามขึ้นมา
“เจ้ฮุ้งไม่เคยได้ยินเหรอ คุณสองหมวยตั้งแต่เป็นวัยรุ่นจนเป็นสาว อาม้าคุมตลอด เช้าออกจากบ้านเจ็ดโมง บ่ายสามครึ่งต้องถึงบ้าน ขอไปค้างบ้านเพื่อนก็ไม่ได้ ไปเที่ยวก็ไม่ได้ ต้องท่องหนังสือ ต้องทำการบ้าน เมื่อกี้กรี๊ดเพราะคุณหมวยใหญ่ไม่ยอมพูดด้วย ก็โทร.ไปตีสองปลุกขึ้นมาพูด ไม่รู้ล่ะ อยากโทร.
เมื่อไหร่โทร.ไม่เคยดูนาฬิกา อย่างเนี้ยลูกมันก็ไม่อยากพูดด้วยหรอก”
“เวลาคุณนายสองมีความสุขตอนไหนเหรอเจ้เง็ก” คำถามของจูทำให้เง็กต้องขอเวลาคิดก่อน แต่จูก็ยังข้องใจอีกว่า “คิดว่าไง...ว่าเคยมีความสุขรึเปล่างั้นเหรอ”
“ฮื่อ...สงสัยว่าจะไม่เคย”
“ไม่เคย...” ทุกคนเปล่งเสียงพร้อมเพรียง หน้าตาเหลอหลาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“แต่อั้วสงสัยอีกอย่างหนึ่ง คุณนายสองอีจะรู้มั้ยว่าอีน่ะ...ไม่มีความสุขเลย” พูดแล้วฮุ้งก็ถอนใจเฮือกใหญ่ออกมา...
ค่ำนั้นเยนหลิงพาใบหน้าหมองเศร้าลงมาไหว้เจ้าในบ้าน แล้วก็ทำเช่นนี้เป็นประจำทุกวันจนเง็กเห็นเข้าก็อดเอาไปขยายกับจูและฮุ้งอีกไม่ได้
“เดี๋ยวนี้อาคุณนายที่สองอีลงมาไหว้ตี่จู่เอี้ยทุกวัน สงสัยว่า...รู้ว่าตัวผิด เลยมาไหว้”
“หรือไม่ก็มาไหว้ขอให้คิดออกว่าจะหาเรื่องใครต่อ”
“อาฮุ้ง...ระหว่างอาโกวกับอาคุณนายที่สอง ลื่อเชื่อคำพูดใคร”
“อั้วเชื่ออาโกว อั้วว่าอีพูดจริง...อาจู ไม่พูดอะไรซักคำเหรอ”
“อั้วไม่อยากรู้อะไรของอีซักอย่าง อีจะเป็นลูกหลานทูตรึเปล่า อีจะเป็นผู้ดีรึเปล่า อีจะเป็นคนจีน คนไทย หรืออีจะเป็นลูกเจ๊กขายหมูอยู่ตลาดสามยอด อั้วก็ไม่อยากรู้ทั้งนั้น อั้วรู้อยู่อย่างเดียวก็พอ”
“อะไร?” เง็กกับฮุ้งประสานเสียง
“อีเป็นคนไม่ดี อีฆ่าคน วันหนึ่งกรรมต้องตามอีจนทัน คนไม่ดียังไงๆก็ไม่ได้ดี”
ฟังคำตอบแล้วทั้งเง็กและฮุ้งเงียบกริบ ไม่กล้าพูดอะไรต่อ แต่ก็มองหน้าจูอย่างเข้าใจ
ooooooo
ที่โอ๊กแลนด์...ความสัมพันธ์ระหว่างเรยากับเกียรติกรดำเนินไปด้วยดี แต่อาจจะมีคลางแคลงใจบ้างคือฝ่ายชาย เพราะจนป่านนี้แล้วเรยาก็ยังไม่ยอมให้เขาไปที่บ้าน ทำเหมือนมีอะไรปิดบังซ่อนเร้น
จนวันหนึ่งเธออ้อนขอมาดูบ้านของเขาแล้วเกือบจะมีสัมพันธ์กันเลยเถิด ถ้าจู่ๆเขาไม่หยุดยั้งอารมณ์ไว้เสียก่อน แต่มันทำให้เรยางงงัน ลุกตามมาโอบรอบคอเขา ถามเสียงแผ่วว่าทำไม?
“เรยา คุณแต่งงานแล้วใช่มั้ย”
คำถามแทงใจจนเรยาตกตะลึง ไม่ทันตั้งตัวเลยไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ยิ่งพอเขาเน้นย้ำอีกครั้งว่า “คุณมีสามีแล้วใช่มั้ย...ผมเป็นชู้กับคุณไม่ได้” เรยาก็หน้าเสียแทบจะหมดแรงยืน...
เรยากลับไปบ้านตัวเองด้วยความหงุดหงิดผิดหวัง แม้จะยังไม่ถูกเขาตัดสัมพันธ์เด็ดขาดแต่ก็ทำให้เรยาเสียใจ
และหนักใจอย่างบอกไม่ถูก พอได้ยินเสียงลูกน้อยร้องไห้ก็ยิ่งทำให้เธอพาลพาโล ไม่สนใจ ไม่อุ้ม แถมยังสั่งแอนนาเอาเขาไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับเธอ
แอนนาสงสารเด็กเหลือเกิน คิดว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว...แอนนาตัดสินใจโทร.ไปรายงานก้องเกียรติที่เมืองไทย ทางนั้นฟังแล้วเครียดทันที แต่ไม่ลืมขอบคุณแอนนา และว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้เอง
พอแอนนาวางสายก็หันไปเห็นเรยายืนจ้องมา แอนนาสะดุ้งนิดเดียว แล้วโกหกเรยาที่อยากรู้ว่าเธอโทร.ถึงใคร
“อ๋อ โทร.ถึงแม่ฉัน เธอไม่สบายนิดหน่อย...เรยาจะไปไหนหรือ” แอนนามองกระเป๋าในมือเรยา
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ” เรยาสะบัดเสียงใส่แล้วผลุนผลันออกไปทันที
เธอไปตื๊อซีเคถึงบ้าน ขณะที่ฝ่ายชายก็ยังตัดเธอไม่ขาด ลืมเธอไม่ลง แต่เขาต้องพยายามใจแข็ง บอกเหตุผลกับเธอว่า
“เรยา...พ่อผมมีเมียหลายคน เขามีเมีย...มีเมีย...แล้วก็มีเมีย จนในชีวิตของผม...ผมตั้งใจว่าจะมีเมียคนเดียวเท่านั้นตลอดชีวิต และผู้หญิงของผมก็ต้องมีสามีคนเดียว”
“ฉันก็มีคุณคนเดียวนะซีเค”
“ผมยังไม่เชื่อคุณ”
เรยาโอบคอเขา จูบเขาทั่วใบหน้า และพูดทั้งน้ำตาคลอๆ “เชื่อฉันซีเค เชื่อฉัน....ว่าฉันมีคุณคนเดียว ฉันรักคุณคนเดียว”
“ไปบ้านคุณเดี๋ยวนี้ และเราจะมีกันและกันคนเดียว”
เรยานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แล้วสะอื้นเต็มแรง น้ำตาไหลพราก...
ooooooo
ขณะเดียวกันนั้นที่บ้านก้องเกียรติ โจกับเต้นั่งจ้องหน้าเพื่อนรักที่กำลังกลุ้มหนักด้วยเรื่องเรยาที่เขาเพิ่งรับฟังจากแอนนาเมื่อวันก่อน
“สรุปคือ...เขาจะเป็นแต่เมีย แต่ไม่ยอมเป็นแม่” น้ำเสียงเต้ฉุนๆ แต่โจคิดในทางกลับกันว่า ถ้าเขาอยากเป็นแม่ แต่ไม่อยากเป็นเมียก็คงจะดี...เต้ค้านเสียงแข็งว่า “เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้หญิงคนนี้ ฉันสงสัยตั้งแต่เขาคลอดก่อนกำหนดก่อนได้ไง ถ้านับตามเวลาก็พอดีนั่นแหละ เขาหลอกนายแน่นอนนายใหญ่”
“ไม่มีประโยชน์จะพูดเรื่องท้องเมื่อไหร่ ลูกเป็นลูกของฉันแล้วกัน” ก้องเกียรติแทรกขึ้นมา แต่พอเต้ขอให้เขาสรุปว่าปัญหาตอนนี้คืออะไร เขากลับบอกว่า “ฉันไม่รู้...รู้แต่เขาไม่รักลูก จะแก้ปัญหาให้เขารัก...คงยาก ฉันไม่เข้าใจ ทำไมคนเป็นแม่ไม่รักลูก”
“มันก็ง่ายเลยนายใหญ่ ก็เอาลูกมาให้อาม้าสิ อาม้าอยากมีหลานไม่ใช่หรือ” โจแนะนำ เต้เองก็เห็นด้วย เพราะณฤดีไม่มีลูกเสียที
“แล้วเขาล่ะ” ก้องเกียรติหมายถึงเรยา
“รอจนเขาพบผู้ชายคนใหม่ แล้วเขาก็จะไปจากนาย” เต้มั่นใจ...ก้องเกียรติก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันแต่เขาไม่พูดมันออกมา
“วันที่ฟ้าผ่า คือวันที่นายอุ้มลูกเข้าบ้านนั่นแหละ ต่อจากนั้นฟ้าก็สว่าง...อาม้าดีใจตาย” โจเชียร์เต็มที่ แต่ก้องเกียรติยังติดขัดไม่คล้อยตาม
“คุณดี๋ล่ะ นายไม่คิดถึงคุณดี๋เหรอ จำได้มั้ยคุณดี๋เคยพูดว่าไง...แค่ฉันมีเมียน้อยก็แย่แล้ว นี่มีลูก...” ก้องเกียรติไม่อยากพูดต่อ แล้วก็ไม่อยากคิดด้วย ได้แต่ถอนใจยาวออกมาอย่างกลัดกลุ้ม...
บ่ายวันรุ่งขึ้นจิวมาพบก้องเกียรติถึงบริษัทด้วยเรื่องเกียรติกรไปทำงานที่โอ๊กแลนด์ซึ่งจิวยังไม่ได้บอกกล่าวให้เขาทราบ...ก้องเกียรติดีใจมากรีบสั่งการเลขาฯซื้อตั๋วไปโอ๊กแลนด์ให้เขาเร็วที่สุด
แต่ด้วยความที่กำลังเป็นห่วงลูก เมื่อไปถึงก้องเกียรติจึงแวะที่บ้านก่อน แต่เรยาไม่รู้ล่วงหน้าพอเห็นเขาปรากฏตัวก็ตะลึงงัน
“พ่อ...ทำไมมาไม่บอก”
“มาธุระกะทันหัน จะเซอร์ไพรส์ฟ้าด้วยไงครับ ตาหนูอยู่ไหน” ถามแล้วไม่รอคำตอบ เดินผ่านเรยาไปที่ห้องเด็ก เดี๋ยวเดียวเขาก็อุ้มลูกในวัยสามเดือนแนบอกออกมา “ตาหนูลูกพ่อ พ่อคิดถึงเหลือเกินลูก”
เรยาจ้องมองแล้วคิดบางอย่างได้ บอกกับเขาว่าเธอมีเรื่องสำคัญจะพูดด้วย...พอมานั่งเผชิญหน้ากันตามลำพังที่โซฟารับแขก เรยาเปิดฉากทันทีว่าเมื่อไหร่เขาจะพาหลานไปหาปู่กับย่า เขาบอกตามตรงว่ากำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
“แล้วคิดออกหรือยังว่าเมื่อไหร่”
“ยังครับ ผมยังรอ...”
“ต้องเร็ว พ่อไม่ต้องรออะไร เพราะฟ้าจะไม่รออีกแล้ว” เรยารุกเร่งเสียจนเขาแปลกใจ ขอฟังเหตุผล “มันนานเกินไป... ตาหนูอายุสามเดือน มันนานเกินไปที่หลานจะพบปู่ย่า”
“นานเกินไป ฟ้าจะให้เร็วแค่ไหน เรื่องอย่างนี้ต้องใช้เวลา”
“ไม่ต้อง พ่อกลับเมืองไทยคราวนี้เอาลูกไปด้วยเลย”
“ฟ้าล่ะ”
“ฟ้ายังอยู่นี่ก่อนก็ได้ ฟ้าอยู่ได้ เพราะถ้าพ่อเอาฟ้าไปด้วยมันยุ่งยากใช่มั้ย เอาตาหนูไปคนเดียวง่ายกว่า”
“จะให้ผมบอกทางบ้านว่าแม่ของตาหนูอยู่ไหน”
“บอกว่าตายไปแล้วก็ได้”
“ฟ้า!!” เขาอุทานตกใจ เรยาจึงรีบปรับคำพูดใหม่
“ฟ้าหมายความว่า...บอกว่าอะไรก็ได้ ฟ้าไม่ว่าอะไรพ่อหรอกค่ะ บอกไปก่อน ขอให้ปู่ย่ายอมรับตาหนูก็พอ”
“ฟ้า...ฟังผม ปู่ย่าไม่สำคัญเท่าภรรยาผม ผมต้องพูดกับภรรยาผมก่อน ต้องให้คุณดี๋รู้ก่อน ถ้ายอม...” เขาพูดไม่ทันจบ เสียงแหลมๆของเรยาก็ตวัดขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องมาเอ่ยชื่อมัน ไม่อยากฟัง มันสำคัญแค่ไหนถึงต้องให้รู้ก่อน ลูกมันไม่มี ทำไมพ่อต้องเกรงใจมันขนาดนั้น”
“ฟ้า...พูดดีๆ”
“ไม่ดี...ไม่มีการพูดดี พ่อรักมันเกรงใจมัน แล้วมามีฟ้าทำไม”
“ฟ้า...” เขาท้วงขึ้นมาคำเดียว แต่สายตาที่มองเธอเหมือนเตือนสติว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง
“พ่ออย่ามามองฟ้าอย่างนั้นนะ ถ้าด่ากันด้วยสายตาอย่างนั้นฟ้าจะอาละวาด ไม่กลัวอะไรแล้ว จะเดินเข้าไปบอกมันเลยว่ามันน่ะไม่มีน้ำยา แค่ลูกคนเดียวยังไม่มีปัญญาทำ พ่อจะอยู่กับมันทำไม อยู่ให้นามสกุลด้วนหายไปงั้นรึ”
“ฟ้าพูดจาหยาบคาย ผมไม่พูดด้วย” เขาลุกหนี แต่เรยาผวาไปดักไว้ สีหน้าเอาเรื่องสุดๆ
“ไม่ให้ไป บอกก่อนว่าจะเอาตาหนูไปเที่ยวนี้...บอก... แล้วฟ้าจะหยุดทุกอย่าง”
“แน่ใจหรือว่าคุณจะหยุดทุกอย่าง”
“พ่อหมายความว่ายังไง”
“อย่างที่ผมพูด”
“นั่นแหละ...หมายความว่ายังไง” เรยาเสียงเขียวข้องใจสุดๆ พอไม่ได้คำตอบก็ยิ่งฉุนเฉียวกระชากแขนเขาคาดคั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดี แถมเขายังปึงปังออกจากบ้านไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...
ก้องเกียรติไปหาเกียรติกรที่บ้านหลังใหม่ตามข้อมูลที่ทราบจากอาจิว และเมื่อพี่น้องทักทายกันแล้ว น้องชายสังเกตสีหน้าพี่ชายเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจจึงซักถามด้วยความเป็นห่วง แต่พี่ชายก็ลังเลอยู่นานพอดูกว่าจะตัดสินใจพูดออกมา
“พี่มีเรื่องไม่สบายใจสองเรื่อง เรื่องแรกคือขอให้ตี๋เล็กช่วยไปดูแลกิจการบริษัทของเราด้วย พี่จะพาไปซักวัน ไปรู้จักที่ตั้งบริษัทในโอ๊กแลนด์นี่”
“เรื่องที่สองล่ะครับ”
“เรื่องที่สอง...เป็นเรื่องความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยของพี่ ไม่ได้จะรบกวนให้ตี๋เล็กช่วยอะไร เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีใครช่วยได้ ทุกอย่างพี่ต้องแก้ปัญหาเอง ตอนนี้ปัญหาก็กำลังมัดตัวพี่อยู่...ดิ้นไม่หลุดเลย”
เกียรติกรแปลกใจ มองหน้าพี่ชายเป็นเชิงเร่งให้เล่ามา แต่แล้วเขาก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินพี่ชายบอกว่า
“พี่มีลูก...จากผู้หญิงอีกคนหนึ่ง”
“พี่ชายใหญ่...” เสียงอุทานเขาเบาหวิวแล้วขาดหายไปในลำคอ
“พี่รู้ว่าตี๋เล็กก็เหมือนพี่ เกลียดฝังใจกับเรื่องอย่างนี้ พี่เองเสียใจกับเรื่องนี้มาก แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว พี่ต้องแก้ปัญหา”
“ยังไงครับ”
“คงต้องพาหลานไปหาปู่ย่า เรื่องที่น่ากลัวที่สุดคือ ถ้าคุณดี๋รู้...เธอหย่ากับพี่แน่ คุณดี๋รับไม่ได้”
“พี่ชายใหญ่จะยอมเลิกหรือครับ”
“ไม่ พี่เลิกกับคุณดี๋ไม่ได้ ถ้าคุณดี๋ต้องไป พี่จะเป็นทุกข์ตลอดชีวิต แทบจะไม่อยากอยู่ต่อไป”
“แล้วแม่ของเด็กล่ะครับ เขาเรียกร้องอะไรบ้าง”
“เขาเรียกร้องแน่นอน เพราะเขามีลูก”
“พี่ชายใหญ่รักเขาหรือครับ”
“เรื่องระหว่างพี่กับเขาอธิบายยาก พี่ไม่ได้รักแต่จะโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก พี่ก็ผิดด้วย”
“พี่ชายใหญ่จะให้ผมช่วยอะไรบ้างครับ”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่ทำให้ตี๋เล็กยุ่งยาก เพียงแต่เขาอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวกับลูก ถ้ามีปัญหาอะไรพี่ฝากตี๋เล็กดูแล...เขาไม่มีใคร พ่อแม่ตายแล้ว พี่น้องไม่มี”
“ครับ”
“แล้วพี่จะพาตี๋เล็กไปพบเรยา”
เกียรติกรชะงึกกึกกับชื่อของผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่ทันจะอ้าปากถามอะไรพี่ชายต่อ เสียงมือถือของเขาดังขึ้น และคนที่โทร.มาก็คือเรยานั่นเอง
ชายหนุ่มเดินออกห่างจากพี่ชายไปคุยโทรศัพท์กับเรยา แต่เพียงครู่เดียวเขาก็กลับมานั่งคุยกับพี่ชายต่อด้วยใจคอที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก
ooooooo