ตอนที่ 15
ปวีณาแอบชอบทันพันธุ์ เมื่อรู้ว่าเขาพาผู้ใหญ่มาเจรจาสู่ขอปารมีก็ผิดหวังและขุ่นเคืองใจ พาลหาเรื่องปารมีหวังให้พระยาอภิบาลเฆี่ยนตีทำโทษ แต่ไม่สำเร็จเพราะพระยาอภิบาลไม่ใส่ใจเหมือนแต่ก่อน
หลังจากรู้เงื่อนไขของพระยาอภิบาล...พระวิจิตรไม่ยอมให้ทันพันธุ์เปลี่ยนนามสกุลเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะตัดญาติ ทำนุ ทำนอง และแทนพงศ์ช่วยกันเกลี้ยกล่อมก็ไร้ผล พระวิจิตรยืนกรานคำเดิมเพราะทนไม่ได้ที่ต้องกลายเป็นเบี้ยล่างพระยาอภิบาล
ด้านธนาที่กลับจากอเมริกาก็แจ้งข่าวว่าเขายุติการแต่งงานกับทานตะวันเพื่อมาดูแลปัทมา ทุกคนยินดีที่ธนาคิดได้ ยกเว้นพระวิจิตรไม่เห็นด้วย ไม่ต้องการรับสะใภ้สติไม่ดีเข้ามาอยู่ร่วมชายคา
ปัทมาเลื่อนลอย จมอยู่กับความเศร้า บางครั้งก็ยิ้มและหัวเราะมีความสุขกับภาพอดีต แต่บ่อยครั้งก็อาละวาดกรีดร้องคลุ้มคลั่งจนทุกคนตกใจกลัว วันหนึ่งพระยาอภิบาลเข้าไปปลอบ ปัทมาคิดว่าจะมาทำร้ายเธอ จึงผลักปู่ตกบันไดได้รับบาดเจ็บไม่สามารถเดินได้ ต้องนั่งรถเข็น ปวีณากล่าวโทษปารมีดูแลปัทมาไม่ดี แต่พระยาอภิบาลไม่ถือโทษใครทั้งนั้นแม้แต่ปัทมาที่ผลักตนตกบันได
พระวิจิตรรู้ข่าวพระยาอภิบาลเดินไม่ได้ก็หัวเราะสาแก่ใจ บอกทุกคนว่าเวรกรรมมีจริง พระยาเคยหยันตน ลงท้ายก็ต้องโดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด พวกทำนองไม่เห็นด้วยแต่ไม่อยากโต้เถียงให้มากความ ด้านธนาก็ดึงดันขัดคำสั่งพระวิจิตรไปเยี่ยมปัทมา โดยที่ทันพันธุ์กรุยทางนำพาไป
ปรากฏว่าพระยาอภิบาลขับไล่ไม่อยากเจอหน้า แต่ธนาไม่ยอมไป นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญความจริง เขาจะไม่หนีปัญหาอีกแล้ว เขาขอมาดูแลปัทมาในฐานะสามีที่ต้องรับผิดชอบต่อภรรยา พระนิติรักษ์จึงยอมให้ธนานำตัวปัทมาไปดูแลได้เป็นครั้งคราว
“ฉันนำลูกมาคืนให้เธอ แม่ปัทมายังคงเป็นลูกของฉัน พวกฉันจะเรียกหาแม่ปัทมาเมื่อใด ขอให้คุณนำมาส่งให้ฉัน”
“ครับ”
“ขอให้เธอดูแลลูกสาวฉันให้ดีที่สุด หากเธอบกพร่องในการดูแล เธอจะไม่มีโอกาสได้เจอะหน้าแม่ปัทมาอีก”
“ผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุดครับ”
ธนาพาปัทมาออกไปโดยมีปารมีตามไปส่งและบอกรายละเอียดในการดูแลปัทมา ปวีณาขัดหูขัดตายิ่งนัก แจ้นมาฟ้องปู่เพื่อให้ท่านตำหนิพระนิติรักษ์ แต่พระยาอภิบาลกลับไม่ใส่ใจ โบกมือไล่ปวีณาพลางมองไปทางบ้านพระวิจิตรอย่างทำใจยอมรับความจริง
ธนาพาปัทมามาอยู่ด้วยกันที่บ้าน คอยดูแล หวีผมให้เธอ ทำทุกอย่างด้วยความรู้สึกผิด แม้ว่าปัทมาจะโวยวายหรือทำร้ายร่างกายเขา ธนาก็จำฝืนทนนอนกอดเธอร้องไห้ สำนึกผิดบาปที่เคยทำร่วมกันมา ส่วนพระวิจิตรก็แทบคลั่ง จำทนใช้ชีวิตร่วมชายคากับสะใภ้บ้าที่คอยกรีดร้องใส่เขาตลอดเวลา
ฝ่ายทานตะวันยังอยู่อเมริกา เธอไม่ยอมเปิดใจรับอรรถที่ย้อนกลับมา เขาบอกว่ารักเธอ แต่เธอแย้งว่าเขารักตัวเองต่างหาก เขาแค่อยากเอาชนะและครอบครอง ถึงวันนี้เธอจะตกที่นั่งเดียวดายแต่เธอไม่เสียใจที่ได้รักธนา และเธอจะไม่ยอมเคราะห์ซ้ำ ตกลงใช้ชีวิตกับคนที่ไม่รู้จักคำว่ารัก...
ooooooo
ในยามเจ็บไข้ได้ทุกข์ พระยาอภิบาลยิ่งปลดปลงกับชีวิต วันนี้เขาใช้หวานไปเรียกสมาชิกในเรือนทุกคนมาพร้อมหน้าเพื่อแจ้งขอยกอำนาจตัดสินใจในเรือนให้พระนิติรักษ์
“คุณพ่อครับ คุณพ่อเคืองที่ผมข้ามหน้าข้ามตาเรื่องแม่ปัทมา ผมหามีเจตนาท้าอำนาจคุณพ่อ”
“พ่อมิเอามากวนใจให้ขุ่น แม่ปัทมาก็ลูกคุณพระ คิดทำการใดก็เอาเถอะ นับวันชีวิตพ่อมีแต่ถอยหลัง มิรู้เจ็บตายขึ้นเมื่อใด ชีวิตมันมิเที่ยงแท้ พ่อขอวางมือ คุณพระเองก็มีกำลังสามารถรู้ถูกผิด และแกร่งพอจะปกครองลูกหลานและบริวารได้ พ่อขอมอบอำนาจนี้ให้คุณพระ”
“ผมมิอาจรับเกียรตินี้ได้ หากมิได้เห็นชอบจากน้องๆ แม้ผมเป็นพี่ชายมีอำนาจใหญ่แต่ผมมิอาจตัดสินใจเหนือใคร เรือนนี้เป็นบ้านของเรา หากน้องๆรับคำที่จะช่วยพี่ พี่จึงจะรับมอบหน้าที่นี้”
ปริก จำปา และปีบมองหน้ากันก่อนตอบเป็นเสียงเดียวว่าเห็นด้วยกับคุณพ่อและเต็มใจรับฟังความคิดของคุณพี่ พร้อมจะปฏิบัติตามช่วยเหลืองานทุกอย่าง
พระยาอภิบาลพอใจที่ส่งมอบอำนาจให้บุตรชายคนโต แต่อีกครู่ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อปริกถามความคิดเห็นเรื่องท่านหญิงพิไลลักขณามาเป็นผู้ใหญ่เจรจาสู่ขอปารมีให้ทันพันธุ์
“กิจนี้ยังคงเป็นหน้าที่ของพ่อ...มิเว้นให้ใครชี้นำ”
“พวกลูกมิขวางค่ะ พร้อมยอมรับฟังการตัดสินใจของคุณพ่อ”
“แต่ลูกขอพูดสักอย่างได้ไหมคะ” ปีบเอ่ยอย่างเกรงใจ
“มีกระไรก็อย่าอ้ำอึ้ง”
“ลูกอยากให้คุณพ่อละทิฐิลงค่ะ ความเจ็บพยาบาทเปรียบได้กับตะปูที่ถูกย้ำลงในเนื้อไม้ ถ้าพยายามถอนตะปูทิ้งก็ย่อมจะถอนได้ แต่ตราบใดที่ไม่ยอมถอน กลับคอยตอกย้ำความจำอยู่ตลอดเวลา ยิ่งนานวันแทนที่จะเลือนหายไป ก็ยิ่งฝังอยู่ในใจ ปวดใจมิมีวันคลายค่ะ”
“แม่ปีบพล่ามจบความรึยัง...พวกแม่ๆก็ไปสุมหัวหาคำเปรียบเปรยอยู่ในครัวกันต่อเถอะ”
ทุกคนหน้าเจื่อนพากันออกไป พระยาอภิบาลหวนคิดถึงอดีตเหตุการณ์ที่แม่หนีไปเพราะไม่ได้รักพ่อ จึงตัดสินใจให้หวานไปตามทันพันธุ์มาพบ เมื่อเห็นชายหนุ่มเข้ามาปวีณารีบเย้ยปารมีด้วยความอิจฉาว่า
“คุณปู่คงเรียกมาสั่งห้ามให้มายุ่งกับแก มิต้องทำใจสั่นระริก คุณปู่ไม่มีวันประเคนแกให้เขา”
ปารมีผิดหวังที่ปวีณายังคงตอกย้ำและหาทางต่อว่าเธอตลอดเวลา...ทันพันธุ์เข้ามากราบพระยาอภิบาลที่นั่งบนรถเข็นอย่างนอบน้อม พระยาไม่อ้อมค้อมถามเขาว่าเต็มใจปฏิบัติตามเงื่อนไขของตนหรือไม่
“ถ้าเป็นเงื่อนไขที่ไม่ผิดปกติเกินกว่าผมจะรับได้ ผมเต็มใจครับ”
“เธอต้องเปลี่ยนนามสกุลมาใช้สกุลธรรมคุณก่อนแต่งงานหรือหลังแต่งงานแล้วสักเดือนหนึ่งก็ได้ ฉันยินยอมผ่อนผันเพราะฉันเชื่อว่าเธอลงได้รับปากแล้ว ย่อมถือสัตย์ปฏิบัติตาม”
“ผมเคยกราบเรียนท่านแล้ว ผมไม่ถือว่านามสกุลเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อแรกเริ่มตั้งนามสกุลนั้นก็เพียงเป็นการระบุชี้ชัดว่าใครเป็นใคร สำหรับคนที่ชื่อซ้ำกันเท่านั้นเอง ผมขอเปลี่ยนทีหลังแต่งงานเดือนหนึ่งเพื่อมิให้ผมกลายเป็นฝ่ายหญิงไป”
พระยาอภิบาลชื่นชมในความคิดของทันพันธุ์ที่มีไหวพริบ พระนิติรักษ์และพวกปริกนั่งถัดไปได้ยินถนัดต่างยิ้มพอใจ
“ข้อสำคัญไม่หย่อนกว่ากัน เธอจะจัดงานเลี้ยงทำสมัยใหม่ยังไงฉันไม่ว่า แต่เรื่องรดน้ำสังข์มิต้องไปเชิญใคร น้ำมนต์ที่จะรดเพื่อความสุขความจำเริญต้องหลั่งจากมือคนดีมันถึงจะศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่พระสงฆ์บางรูป ฉันอยากประณามว่าทำให้น้ำพระพุทธมนต์เสื่อมไปมากกว่าศักดิ์สิทธิ์ ฉันเชื่อตัวเองว่าเป็นคนสุจริตด้วยประการทั้งปวง ไม่เคยด่างพร้อยใดๆ ฉะนั้นฉันขอรดน้ำมนต์ให้เธอกับหลานของฉันเพียงคนเดียว เธอจะตกลงไหม”
“ผมตกลงตามเงื่อนไขของท่านเจ้าคุณทั้งสองข้อครับ”
ทุกคนพอใจคำตอบของทันพันธุ์ ยกเว้นปวีณาคนเดียวที่สีหน้าบอกบุญไม่รับ ส่วนหวานดีใจรีบวิ่งลงจากเรือนไปป่าวร้องแจ้งข่าวดีว่าท่านเจ้าคุณยกคุณปารมีให้คุณทันพันธุ์แล้ว พวกป้าพุดส่งเสียงยินดีถ้วนหน้า ขณะที่ปารมีได้ยินก็เขินอาย
เมื่อพระยาอภิบาลบอกทันพันธุ์ว่าตนจะให้พระนิติรักษ์หาฤกษ์ยาม ชายหนุ่มกลับขัดข้องขอคุยกับปารมีก่อน
“ไม่จำเป็น เมื่อฉันตกลงแล้วแม่ปารมีก็มิขัดได้”
“การแต่งงานถือเป็นความยินยอมทั้งสองฝ่าย ผมไม่อยากให้เกิดการคลุมถุงชน การฝืนบังคับนั้นมิก่อให้เกิดความรักเสมอไป หลายคู่อาจมีศีลเสมอกัน อยู่กินกันแล้วรักใคร่ แต่มิไม่น้อย ที่ต้องหมางเมิน หรือนำพาสู่เหตุแห่งความบาดหมาง ผมจึงอยากรับฟังความคิดเห็นของคุณปารมีด้วยครับ”
พระยาอภิบาลรับฟังความคิดของทันพันธุ์ก็พอจะเข้าใจและไม่อยากบังคับปารมีเหมือนในอดีต จึงหันไปสั่งปีบเป็นธุระ ปีบรับคำแล้วนำทันพันธุ์ลงเรือน
ปวีณาผิดหวังและไม่พอใจที่พระยาอภิบาลยอมทันพันธุ์ เธอลุกขึ้นเดินปึงปังออกไปจนบิดาและอาสองคนไม่ชอบใจในกิริยานั้น ส่วนคุณปู่นิ่งขรึม เข้าใจดีว่าปวีณาผิดหวังในตัวเขา แต่ไม่รู้ว่าเธอแอบชอบทันพันธุ์
หลังจากได้พูดคุยกับทันพันธุ์เป็นการส่วนตัวแล้ว ปารมีมิได้ตอบรับเขาในทันที เธอมาคุยกับพระยาอภิบาลเพื่อความแน่ใจว่าปู่ยินดีในการแต่งงานครั้งนี้ เธอมิต้องการเป็นคู่สมรสเพียงเพื่อเอาชนะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เธอต้องการเป็นหลานที่เกิดจากความรัก หากปู่รักและปรารถนาดีต่อชีวิต ปู่ยกเธอให้ใคร เธอก็พร้อมที่จะใช้ชีวิตกับคนนั้น
พระยาอภิบาลจึงประกาศยกปารมีให้ทันพันธุ์ด้วยใจเปี่ยมสุข มิได้ต้องการเอาชนะพระวิจิตร ปารมีตื้นตันและมีความสุขเพราะเธอเชื่อว่าปู่ยอมปล่อยวางความเกลียดชังทั้งหมด และเธอจะทำหน้าที่เป็นทูตแห่งความรักระหว่างสองเรือน
ปวีณาผิดหวังที่ทันพันธุ์มีใจให้ปารมี เธอหันมาผูกมิตรกับแทนพงศ์ อย่างน้อยเธอก็หวังมีใครสักคนที่อยู่ข้างกาย แต่แทนพงศ์กลับรักษาระยะห่างให้ความสัมพันธ์เพียงอาจารย์กับลูกศิษย์ เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาเจ็บช้ำ และไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของใครอีกแล้ว ปวีณาจึงกลายเป็นผู้หญิงที่ขาดความรักและใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว
ความผิดหวังต่างๆทำให้ปวีณาคับแค้นจนไปลงที่พระยาอภิบาล เธอกล้าต่อปากกับปู่ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
“อุดมการณ์คุณปู่สูญสิ้นแล้วเหรอคะ คุณปู่ตั้งกฎห้ามพวกเราไปยุ่งเกี่ยวกับก๊กโน้น แต่คุณปู่กลับคืนคำให้ยัยปานไปแต่งงานเกี่ยวดอง พวกจิตรการคงหัวเราะเยาะสนุกปาก”
“ยัยณา! นี่แกกล้าขึ้นคำกับปู่รึ”
“คุณปู่สอนให้ลูกหลานรักเกียรติ ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกไร้อุดมคติประจำตระกูล ณาทำตามคำสั่งสอนของคุณปู่มิขาด แล้วเหตุใดคุณปู่ถึงกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะยัยปานประจบสอพลอ คุณปู่ถึงเปลี่ยนใจ คุณปู่ยอมใจให้พวกประจบตลบตะแลงแล้วเหรอคะ”
พระนิติรักษ์ไม่พอใจจะเข้าไปปรามปวีณา แต่พระยาอภิบาลยกมือห้ามแล้วบอกปวีณาว่า
“แกคงเข้าใจว่าการที่ฉันยอมให้นังปารมีแต่งงานกับนายทันพันธุ์ เป็นเพราะฉันอ่อนแอลง มิใช่พระยาอภิบาลคนเดิมนะสิ”
“ณาไม่เข้าใจ ทั้งๆที่พี่ปัทกลายเป็นบ้าเป็นหลังเพราะพวกเขา”
“ฉันเห็นว่านายทันพันธุ์นิสัยใจคอต่างจากพวกพ้อง เท่าที่ฉันอุปมานได้ออกจะเหมือนๆกับฉันเอาเสียด้วยซ้ำ ฉันบอกตรงๆ ฉันชอบนายคนนี้ ธรรมคุณของเราสิ้นสุดลงอยู่แค่แกสามคนพี่น้องเท่านั้น ฉันอยากได้สายโลหิตของคนดีๆมาสืบสกุล”
“นายทันพันธุ์ยอมเปลี่ยนนามสกุลตามผู้หญิง แล้วจะเป็นคนที่ดีน่านับถือได้ยังไงคะ”
“นายทันพันธุ์ทำให้ฉันตระหนักแล้วว่าคุณสมบัติของตัวบุคคลสำคัญกว่าสกุล”
“ถ้าคุณปู่เห็นว่าสกุลไม่สำคัญล่ะก็...สกุลธรรมคุณของเราก็ไม่มีความหมายสิคะ”
“มีสิ...ความหมายที่จะให้คนรุ่นหลังๆเขาพูดถึงพวกธรรมคุณ มีแต่ทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองไม่เคยด่างพร้อย นี่คือความสำคัญของการให้ค่าสกุล คือความภาคภูมิใจและเป็นเกียรติมิเสื่อมคลาย และเกียรตินี้แหละที่จะค้ำคอให้เรายึดมั่นถือมั่นในสิ่งดีงาม”
พระนิติรักษ์ ปริก จำปา ปีบ ปารมี รับฟังและเข้าใจความคิดของพระยาอภิบาลอย่างถ่องแท้ แต่ปวีณายังผิดหวังและเสียใจจนน้ำตาตก
“ปวีณา...ปู่ขอให้แกตั้งหน้าเรียนต่อไป แกเองก็มีส่วนทำให้ปู่เปลี่ยนความตั้งใจเรื่องผู้หญิงไม่ควรเรียนมาแล้ว แกเป็นคนฉลาดเหมือนแม่จำปา แต่แม่จำปาไม่ได้เรียนสูงอย่างแก ผู้หญิงเดี๋ยวนี้มีสองอย่าง...อย่างหนึ่งดีเองโดยมิต้องพึ่งผัว อีกอย่างหนึ่งดีเพราะผัว เป็นคุณหญิงคุณนายเพราะผัว แกอยู่ในประเภทแรก ปารมีมิได้มีความรู้สูงนัก เจริญได้เพราะผัวดีเสริมส่ง”
ปวีณารับฟังแต่ยังไม่พอใจ เดินคอแข็งออกไป ปริกขอโทษแทนปวีณาแต่พระยาอภิบาลกลับไม่ถือโกรธ อธิบายต่อหน้าทุกคนว่าปวีณาเป็นหลานคนเดียวที่ใกล้ชิดติดตน หากจะดีจะชั่วก็ต้องลงที่ตน ตนสั่งสอนให้ปวีณายึดมั่นถือมั่น ในวันนี้มันกลับเป็นหอกมาทิ่มแทงตัวเอง ตนหวังว่าสักวันปวีณาออกไปเผชิญโลกคงเข้าใจอะไรได้มากขึ้น ปวีณายังอ่อนเยาว์ต่อโลก คงมิสายเกินไปที่จะรับการเปลี่ยนแปลง
ooooooo
งานแต่งงานของทันพันธุ์กับปารมีจัดอย่างเรียบง่ายที่เรือนพระยาอภิบาล พิศมรนำเครื่องประดับโบราณของจำปาที่เธอซื้อเก็บไว้ไปให้ปารมีใส่ ย้ำว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินสอดที่มอบให้ลูกสะใภ้
ช่วงเวลาที่พระยาอภิบาลรดน้ำสังข์และอวยพรบ่าวสาว ทุกคนซาบซึ้งตื้นตันจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่
“ฉันรักหลานสาวฉันมาก ฉันเต็มใจยกให้เธอ เพราะฉะนั้นเชื่อได้ว่าชีวิตแต่งงานของเธอและยัยปานต้องมีแต่ความสุขความจำเริญ ความรักและปรารถนาดีในใจหลานจะนำพาให้หลานพบพานแต่ความสุขและความดีงาม...ปู่รักหลาน”
หลังจากนั้นทำนองเชิญทุกคนถ่ายภาพเป็นที่ระลึก แต่ไม่มีปวีณาและพระวิจิตรที่ไม่ยอมเหยียบย่างขึ้นมาบนเรือน ทำนองกับปีบมีโอกาสพูดคุยกัน สองคนยอมรับในความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ที่สำคัญเขาและเธอเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกันแล้ว ความรักของสองคนจึงเป็นรักที่ปล่อยวาง ไม่จำเป็นต้องครอบครอง ส่วนธนาก็ตั้งใจไว้ว่าเขาจะอุทิศทั้งชีวิตดูแลปัทมา
ทันพันธุ์พยายามขอร้องพระวิจิตรให้ไปเป็นประธานงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสในสโมสรแต่ไม่สำเร็จ พระวิจิตรทิฐิแรง แต่พออยู่บ้านคนเดียวก็เหงาโดดเดี่ยว ย่ำเดินไปยังเรือนพระยาอภิบาลที่ลูกหลานไปงานเลี้ยง
พระวิจิตรมาเย้ยพระยาอภิบาลว่าเป็นอัมพาต แต่พระยาแย้งว่าตนเพียงรอกระดูกสมานก็ได้เดิน ยังไม่ตายให้สังเวช พระวิจิตรยิ้มหยันราวกับตัวเองคือผู้ชนะ
“หากเปรียบยามนี้เป็นสงคราม เราต่างมีเชลย หลานสาวเอ็งเป็นเชลยข้า อย่าทำให้ข้าเคืองใจ”
“หัวเอ็งมันก็พล่ามเอาใหญ่เหนือข้า คนที่มันสูญเสียแทบมิเหลืออะไรย่อมเรียกร้อง แก่จะตายแล้วก็วางบ้างเหอะ มันหนัก”
“เขาว่าไว้...มิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตา เอ็งท่าจะใกล้ฝั่งสิ้นท่าแล้วสิ ถึงมีปรัชญามาพล่ามใส่ข้า ไอ้พระยาขาเป๋”
พระยาอภิบาลจะโวย แต่เปลี่ยนใจยิ้มเย้ย
พระวิจิตรนิ่วหน้าแปลกใจ ถามอีกฝ่ายว่าหยันตนเรื่องอะไร
“ข้าขาเป๋ แต่ใจข้ามันวิ่งไปไกลแล้ว ไกลเกินกว่าใจเอ็งจะเห็น”
พระยาอภิบาลยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะเขาได้ค้นพบสัจธรรมในชีวิตแล้ว และมีความสุขกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
“เอ็งพล่ามกระไร รึว่าใกล้ตายก็พร่ำเพ้อไม่เป็นประสา”
“ข้าสุขใจเหลือจะกล่าว แม้ข้าขาเป๋ แต่บัดนี้ข้ากลับมีลูกหลานที่รักข้า ยังได้เชลยศึกมา มิใช่สิ ต้องเรียกนายทันพันธุ์ว่าผู้กลับใจมาสวามิภักดิ์ ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่เสมอข้า แล้วเอ็งล่ะ ยามนี้เอ็งเหลือใคร เอ็งไม่ต้องตอบ ข้ารู้ว่าเอ็งตกที่นั่งหัวเดียวกระเทียมลีบ มิอยากตายไร้ญาติ ก็หัดเปลี่ยนตัวเองซะบ้าง เปลี่ยนให้ลูกหลานมันนับถือ”
พระวิจิตรเสียหน้าที่โดนดูถูกจึงผลุนผลันเดินกลับไป พระยาอภิบาลตะโกนไล่หลังอย่างอารมณ์ดี
“เอ็งจะไปงานเลี้ยงที่สโมสร ข้าขอฝากคำอวยพร ขอให้นายทันพันธุ์ ธรรมคุณ...จำเริญ...จำเริญ...จำเริญ”
พระวิจิตรชะงัก เจ็บใจที่พระยาอภิบาลจงใจเย้ยเรื่องเปลี่ยนนามสกุลทันพันธุ์ได้ เขาเดินลิ่วไปอย่างหัวเสียที่ต้องพ่ายแพ้ต่อศัตรูคู่แค้น
พระยาอภิบาลหัวเราะเยาะ แต่แล้วก็นิ่งไม่ได้คิดอาฆาตเหมือนเก่า เพียงแต่ขอหยันมิยอมเสียหน้า แล้วก้มมองสภาพตัวเอง ก็สำนึกในเวลาที่เหลืออยู่...
คำพูดของพระยาอภิบาลบังเกิดผลในทางดี
พระวิจิตรกลัวความโดดเดี่ยวเดียวดาย ไร้ลูกหลานให้ความรัก
หลังจากเข้ามานั่งทำใจในรถ พยายามปรับอารมณ์ให้สงบลง พระวิจิตรสั่งชื้นให้ออกไปงานเลี้ยงที่สโมสรเพื่ออวยพรทันพันธุ์
ฝ่ายพระยาอภิบาลให้หวานพาปัทมาที่ไม่ได้ไปงานเลี้ยงเข้ามาหา แล้วขออยู่กับหลานตามลำพัง ปัทมาหน้าตาสดใส ไม่อาละวาด แต่เหม่อลอยยิ้มไปมา
พระยาอภิบาลลูบหัวปัทมาด้วยความรักและสงสาร แม้ว่าจะสายเกินไป แต่เขาก็หวังว่าชีวิตที่เหลืออยู่เขาจะดูแลและมอบความรักให้ปัทมาจนกว่าจะตาย จากกัน
“ปู่รักแก” คำพูดนั้นเจือสะอื้นจนสั่นเครือ
และเขามิอาจกลั้นน้ำตา...เหมือนได้ปลดปล่อยความเกลียดชังในใจจนหมดสิ้น
ooooooo
–อวสาน–