ตอนที่ 14
ความรักความห่วงใยและความเอาใจใส่ของญาติทุกคนทำให้ปัทมาคลายความเศร้า ยอมพูดคุยกับอาและปารมี ยกเว้นปวีณาที่ปัทมาชิงชังยังไม่ยอมมองหน้า
จำปามีความคิดจะเปิดห้องเสื้อหรือร้านเสริมสวยให้ปัทมาและเธอเชื่อว่าพระยาอภิบาลต้องยินยอมเหมือนตอนที่ปริกเคยขอท่านให้ปัทมาได้เรียนต่อ
สถานการณ์กำลังจะดีอยู่แล้วเชียว ถ้าปัทมาไม่บังเอิญไปเห็นจดหมายที่ธนาส่งมา เธออาละวาดขึ้นมาอีกหลังอ่านข้อความธนาเขียนมาบอกว่าเขาแต่งงานกับทานตะวันและขอให้ปัทมาเซ็นใบหย่า
เสียงกรีดร้องของปัทมาทำให้คนบนเรือนตระหนกตกใจ ปวีณาเห็นข้อความในจดหมายก็พูดโพล่งว่าธนาแต่งงานกับทานตะวัน ปัทมายิ่งทำใจไม่ได้โวยวายไม่ยอม แม้ปารมีเข้ามาปลอบให้ปล่อยเขาไป เขาไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับพี่อีกแล้ว ก็ไม่อาจหักห้ามความเสียใจของปัทมาได้
ตะเบ็งเสียงอย่างเคียดแค้น
“มันส่งจดหมายมาเย้ยฉัน มันขออโหสิกรรม ไม่! ฉันไม่อโหสิกรรมให้พวกมัน ชาติหน้าฉันใดฉันจะจองเวรกับมัน นังเพื่อนทรยศ ผัวอัปรีย์ ผู้ชายสันดานเหลวเละเทะ เอาแต่ได้ มันยังกล้าคะนองขอให้พี่เขียนหย่าให้มัน ฉันไม่หย่าให้เป็นแน่ ฉันจะเป็นโซ่ล่ามคอไม่ให้พวกมันเสวยสุข
ทานตะวันเพื่อนทรยศ มันไม่มีวันได้ขึ้นแท่นเป็นเมียถูกต้องตามกฎหมาย มันเป็นได้มากชั้นสุดก็แค่ชู้ คนทั้งโลกต้องรุมประณามใส่หัวมัน วันไหนที่มันกลับมาฉันจะถ่มน้ำลายรดหน้ามัน ฉันเกลียดแก ฉันเกลียดแก!”
พระยาอภิบาลได้ยินเสียงเอะอะของปัทมา ออกจากห้องมาเจอพระนิติรักษ์ที่ออกมาด้วยความตกใจเช่นกัน ทั้งปู่และพ่อกลัวปัทมาจะทำร้ายตัวเองรีบวิ่งไปปราม แต่ปัทมากลับด่ากราดสองคนว่าทำให้ชีวิตตนพัง ปวีณาทนไม่ได้ออกโรงตำหนิพี่สาวแล้วโยนความผิดให้พระวิจิตร
ปัทมาคล้อยตามเพราะพระวิจิตรเกลียดชังเธอ คิดเอาเธอเป็นเครื่องมือแก้แค้นพระยาอภิบาลปัทมาคลุ้มคลั่ง วิ่งออกไปตะโกนด่าพระวิจิตรปาวๆ ก่อนจะวกกลับมาต่อว่าปู่ของตนว่าทำให้ชีวิตลูกหลานไม่สมหวังในรัก พระยาอภิบาลรับฟังด้วยความสะเทือนใจ เดินหนีไปมุมหนึ่ง แต่ยังได้ยินเสียงปัทมากรีดร้องอย่างน่าสมเพชเวทนา
ปวีณาต่อปากต่อคำปัทมาไม่หยุด พี่น้องเลยทะเลาะกันใหญ่ จนในที่สุดพระยาอภิบาลก็ระงับอารมณ์ไม่อยู่ต้องเข้ามาปรามอีกครั้ง
“แม่ปัทมา...ปู่เหลือจะอดแล้ว หยุดพล่ามใหญ่โต แกมันก็สักแต่โยนผิดให้คนอื่นแต่ไหนแต่ไร ความผิดคนอื่นเท่าภูเขา แต่ความผิดของตัวเท่าเส้นผม สิ่งที่แกทำลงไปทำไมใส่ความคิดตื้นนัก ปู่พล่ามสอนมิให้ทำ แต่แกกลับรั้นจะแหกกฎทำตัวเป็นกบฏหัวใหม่ แล้วลงท้ายก็มาบ้าคลั่งพิลึก ทำเพ้อสติลอย พอการได้แล้ว หยุดคิดเสียทุกสิ่ง อย่าเทียวโยนบาปโยนชั่วให้คนอื่น คนเราจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวทำ”
“ใช่...อยู่ที่ตัวทำ แล้วไอ้ตัวตัวนี้ที่มันคิดเช่นนี้ได้ มันก็มาจากคุณปู่ คุณปู่จะปัดผิดก็มิถูก ปู่เอาความเกลียดชังตัวเองมาลงที่ลูกที่หลาน ปู่เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ทุกคนเหมือนหุ่นกระบอกที่คุณปู่คอยชักคอยเชิด หุ่นตัวใดเคลื่อนตามจังหวะที่คุณปู่สาแก่ใจ ก็ปรบมือชื่นชมออกหน้า หุ่นตัวใดมันเดินแหวกไปในทิศทาง
คิดต่าง อยาก มีทางของตัวเอง คุณปู่กลับจับกดจับบิด ให้เป็นไปตามมือของคุณปู่ คุณปู่บงการชีวิตคนอื่นไม่ได้ ที่ปัททำก้าวร้าวหัวรั้น หรือที่ปัทเป็นคลั่งเช่นนี้ก็เพราะคุณปู่ เขาว่าหว่านพืช ใดก็ได้ผลเช่นนั้น ชีวิตปัทเหลวระยำก็เพราะคุณปู่”
“นังปัทมา...แกมันทรพี! โพนทะนาใส่ความร้ายแก่บรรพบุรุษ แกหาเคยรักเกียรติและศักดิ์ศรีของตระกูล”
“พอเถอะค่ะ ปัทฟังคำว่าเกียรติและศักดิ์ศรีมาร้อยครั้งพันครั้ง ปัทฟังแล้วจะอาเจียน ปัทเกลียด เกลียด!!”
ปัทมาร้องกรี๊ดดังไปถึงหูทุกคนที่บ้านพระวิจิตร ทุกคนสงสารและเป็นห่วงเธอ ยกเว้นพระวิจิตรที่ไม่ดูดำดูดีและไม่คิดว่าเป็นความผิดของตนเลยสักนิด
หลังจากคลุ้มคลั่งโวยวายอาละวาดอยู่อีกพักปัทมาก็ล้มพับหมดสติไม่รับรู้ใดๆอีก พวกปริกช่วยกันเยียวยาด้วยความเวทนา...
เช้าขึ้นทันพันธุ์มาสืบข่าวจากปารมี พอรู้ว่าปัทมาเห็น จดหมายของธนาที่จะให้เซ็นใบหย่าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ รีบกลับมาบอกแทนพงศ์แล้วจะให้พี่ชายเดินทางไปตามธนาโดยเร็ว แต่มาติดตรงสถานการณ์บ้านเมืองไม่สู้ดี นักศึกษารวมตัวประท้วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา จึงต้องชะลอไว้ก่อน
ปัทมาฟื้นขึ้นมา สติเลื่อนลอย พูดพร่ำไปมาสลับกับร้องไห้ ทุกคนตกใจเมื่อรู้ว่าเธอกลายเป็นบ้าไปแล้ว พระนิติรักษ์บอกบิดาว่าตนมีเพื่อนเป็นหมอชำนาญโรคนี้จะให้เพื่อนมาตรวจดูอาการปัทมา
ทันพันธุ์ยังไม่ทราบเรื่อง แต่วันนี้เขาบอกแทนพงศ์ว่าต้องการพบพระยาอภิบาลเพื่อแสดงความจริงใจที่เขามีต่อปารมี เมื่อมาหน้าเรือนกลับถูกบ่าวหลายคนขัดขวาง ไม่ต้องการให้รบกวนท่านพระยา อีกทั้งกลัวชายหนุ่มจะรู้เรื่องปัทมาเป็นบ้า
ปารมีมาช่วยขอร้องอีกคนแต่ทันพันธุ์ก็ไม่ยอมกลับ ขอเดินหน้าพบพระยาอภิบาลให้ได้ ปะเหมาะพอดีพระยาออกมาเห็น จึงเชิญเขาขึ้นเรือนเพราะจำได้ว่าชื่อทันพันธุ์เพื่อนของปวีณา แล้วให้ปารมีไปเอาน้ำชามารับแขก
“ผมตั้งใจมากราบท่านเจ้าคุณครับ มีความสำคัญจะแจ้งให้ท่านทราบ”
“พ่อหนุ่มพูดยังกะเรื่องคอขาดบาดตาย มีกระไรว่ามา”
“ผมมิได้เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของปวีณาครับ”
ปวีณาเดินผ่านมาได้ยิน หยุดฟังอยู่มุมหนึ่ง
“คุณเข้ามาช่วยคุณพระหาเสียง”
“ผมชื่นชมในกระบวนความคิดและศรัทธาในความซื่อสัตย์ จิตใจที่พร้อมเสียสละทำงานรับใช้แผ่นดินครับ และตัวผมเองก็ชื่นชอบกระบวนความคิดของท่านเจ้าคุณ”
“ฉันก็ชื่นชอบหัวก้าวหน้าอย่างคุณ เป็นคนรุ่นใหม่หัวนอก แต่ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์มีอุดมคติประจำตัว คนเช่นนี้สิสมควรผูกมิตรไมตรี”
“ผมคิดเห็นเช่นนี้ มิใส่ใจในการเรื่องพวกพ้องหรือระบบอุปถัมภ์ที่ต้องเฮโลตามกันไป ผมให้ความสำคัญที่ตัวบุคคลและความคิดของเขาเป็นใหญ่”
“ฉันนับถือในตัวเธอ นายทันพันธุ์ เออ ว่าแต่คุณมิได้เป็นเพื่อนรุ่นพี่ปวีณา แล้วคุณเป็นใครกัน”
“ผมทำงานสถาปนิกทำงานบริษัทเอกชน อย่างที่เคยเรียนให้ท่านทราบครับ”
“ฉันหมายถึง คุณเป็นลูกเต้าเหล่ากอใครกัน”
“คำตอบนี้มีความสำคัญอย่างนั้นหรือครับ”
“คนไทยถือบรรพบุรุษเป็นใหญ่ เราโตมาด้วยสืบเชื้อสายทางสายเลือด ฉันจึงให้ความสำคัญในข้อนี้ มิอาจละเลยการให้เกียรติและยกย่องบรรพชน คุณสืบเชื้อมาจากต้นตระกูลใด”
“ผม...นายทันพันธุ์ จิตรการ ผมเป็นหลานของพระวิจิตรศิลปการครับ”
พวกปริกขึ้นเรือนมาได้ยินคำสารภาพนั้นพอดี กลัวพระยาอภิบาลอาละวาด แต่ท่านกลับนิ่ง วางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นบอกชายหนุ่มเสียงเรียบว่า
“คุณเร่งออกไปได้แล้ว พวกก๊กนี้ล้วนแต่ตลบตะแลง คุณบังความแลเข้ามาทำสนิทเล่นหัวฉัน ออกไป ฉันมิอยากมีเกี่ยวทุกประการกับพวกพระวิจิตร”
“หมายความว่า...หากเป็นคนอื่นท่านจะไม่กีดกันอย่างนั้นหรือครับ”
“ถ้าเป็นลูกหลานขุนนางตงฉิน พ่อแม่ปู่ย่าตายายหาเคยกินบ้านกินเมือง ฉันก็มิว่ากระไร แต่ถ้าเป็นลูกหลานไอ้พวกเสนียดเมือง ฉันก็จะเพ่นกบาลให้ออกไป”
“แปลว่าความดีของคนไม่ได้รับการพิจารณาอย่างยุติธรรม ท่านเลือกดูแต่ทางบรรพบุรุษ ท่านไม่คิดบ้างรึครับ ความผิดของบรรพบุรุษหรือของพ่อแม่ ไม่ใช่หน้าที่ลูกหลานจะต้องรับผิดชอบ”
“เหตุใดจะเฉไฉมิรับผิดชอบ ฉันถือว่าเลือดของคนสำคัญ...ความดีความชั่วมันสืบสันดานกันได้”
“แต่ผมว่าไม่จริง และท่านเองก็รู้ว่ามันไม่จริงเสมอไป ท่านเองก็ชื่นชอบในความคิดและตัวตนของผม โดยที่มิเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษ ความศรัทธาเกิดขึ้นที่ตัวตนมิใช่เทือกเถาเหล่ากอหรือนามสกุลตามหลัง”
พระยาอภิบาลเถียงไม่ออก ร้องบอกปริกว่าสั่งห้ามคนนอกเข้ามาเพ่นพ่านบนเรือน ปริกจึงมาขอร้องชายหนุ่มให้กลับ ทันพันธุ์ยอมจำนนเพราะไม่ต้องการให้ทุกคนเดือดร้อนจึงลากลับ ปวีณาเดินตามไปชื่นชมเขากล้าหาญมากที่กล้าเผชิญหน้าบอกความจริง ทั้งที่เขาอาจไม่มีโอกาสเข้ามาที่นี่อีก
“ผมไม่คิดเช่นนั้น คุณปู่คุณท่านเป็นคนฉลาด ท่าน ยึดมั่นในความดีและศรัทธาคนดี ท่านคงตรองใจแยกแยะได้”
“ฉันก็หวังให้เป็นเช่นนั้น เราคงได้เจอกันอีก”
ทันพันธุ์ยิ้มตอบตามมารยาทแล้วเดินออกไปเจอปัทมา เธอสวมกอดเขาแต่เรียกชื่อธนา ชายหนุ่มประหลาดใจแล้วกลายเป็นตกใจเมื่อรู้จากปารมีว่าปัทมา สติไม่สมประดีเสียแล้ว
ooooooo
ก่อนกลับไป ทันพันธุ์สารภาพรักปารมีและให้คำมั่นว่ารักของเขาจะไม่ทำให้เธอเสียน้ำตาแม้แต่นิดเดียว ปารมีซึ้งใจแต่เลือกที่จะหลบหลีกไม่เจอเขาอีก เพราะกลัวปัญหาที่จะเกิดขึ้น
คืนนั้นทันพันธุ์เขียนจดหมายถึงธนาและทานตะวันบอกให้รู้ว่าความรักมักง่ายของพวกเขาทำลายชีวิตปัทมาทั้งชีวิต ทานตะวันรู้สึกผิด ยุติการแต่งงานกับธนา เธอมิอาจใช้ชีวิตร่วมกันภายใต้ตราบาปที่ทำร้ายใจปัทมา จึงขอร้องธนากลับเมืองไทยไปเผชิญความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้
ทำนองตั้งใจช่วยเหลือความรักอันบริสุทธิ์ของทันพันธุ์ที่มีต่อปารมี ซึ่งด่านแรกต้องชนะใจพระยาอภิบาล ทำนองและหลานชายสองคนนำพานพุ่มไปกราบขอขมาพระยาถึงเรือน แต่ถูกเขาขับไล่และยืนยันคำเดิมไม่ลงไปเกลือกกลั้วกับก๊กพระวิจิตร
แม้ว่าสามคนอาหลานจะโน้มน้าวหว่านล้อมยังไงก็ไม่ได้ผล พระยาอภิบาลถือไม้ตะพดขู่ทันพันธุ์ที่ไม่ยอมถอยและกล้าถามท่านว่า
“ท่านยังยึดมั่นและศรัทธาในความดีหรือไม่ครับ”
“ฉันทนฟังก็ถือว่าฉันยอมใจมากแล้ว ยังหนักข้อทำใหญ่ใส่ฉัน”
“ถ้าท่านยังถืออุดมคติประจำตัว ท่านต้องเปิดใจรับฟังพวกผม”
“ออกไป...มิเช่นนั้นฉันจะหาได้เกรงใจ”
“แม้พวกผมได้ชื่อว่าเป็นลูกเป็นหลานของคนที่ท่านเกลียดชัง แต่พวกผมสร้างคุณความดีให้แผ่นดิน”
“หยุดพล่ามได้แล้ว”
ทำนองและแทนพงศ์เห็นว่าพระยาอภิบาลเริ่มโกรธ จึงบอกทันพันธุ์ให้กลับก่อน แต่ชายหนุ่มยังเดินหน้าเจรจามิหยุดหย่อน
“อาทำนองเสียสละชีวิตเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยเพื่อปกป้องแผ่นดินนี้ พี่แทนพงศ์เป็นอาจารย์ดำรงไว้ซึ่งจรรยาบรรณพร่ำสอนศิษย์ให้ยึดมั่นในความถูกต้องและใฝ่ประชาธิปไตย หากเอาความดีเป็นตัวตั้งแล้ว พวกผมมิสมควรถูกรังเกียจด้วยเหตุผลทั้งปวง”
พระยาอภิบาลตั้งท่าจะเอาตะพดฟาดทันพันธุ์ แต่คำพูดของชายหนุ่มทำให้ท่านยั้งมือไว้ ปริก จำปา ปีบและปารมีแปลกใจ ทันพันธุ์เร่งขอร้องและวิงวอน
“ท่านรักลูกรักหลาน ขออย่าให้ลูกหลานต้องตกเป็นเหยื่อความเกลียดชังเลย”
พระยาอภิบาลพูดไม่ออก วางไม้ตะพดลง ทำนองส่งพานขอขมาให้พระยาอภิบาล แต่ท่านหันหน้าหนี
“ขอให้ท่านรับพานขอขมานี้ ลบล้างความเกลียดชังในใจ ให้อภัยบรรพบุรุษของพวกผมด้วยเถิด”
ทำนองวางพานแล้วก้มลงกราบ แทนพงศ์และทันพันธุ์กระทำเช่นเดียวกัน พระยาอภิบาลคาดไม่ถึงว่าลูกหลานศัตรูยอมกราบกรานตน ทั้งสามคนกราบเสร็จก็จากไป พระยายังคงนิ่งไม่พูดสิ่งใด แต่พอหวานเข้ามาจะเอาพานไปทิ้ง ท่านเสียงดังใส่ก่อนเดินหนีเสียดื้อๆ
“ข้ามิเอ่ยปากสั่งสักคำ หาที่ทางวางให้เหมาะ เกะกะสายตา”
หวานแปลกใจที่พระยาอภิบาลยอมรับพานนี้ บ่นพึมพำลับหลังว่าฟ้าถล่มดินทลาย ไม่อยากจะเชื่อ...
ooooooo
วันเดียวกันนี้ พระนิติรักษ์นำเงินที่ได้จากกิจการร้านอาหารไปจ่ายค่าจำนองบ้านและอีกส่วนเอาฝากธนาคาร แล้วกลับออกมาเจอปวีณาที่เพิ่งเรียนเสร็จ
ปวีณาบอกข่าวดีว่าการประท้วงของนิสิตสำเร็จแล้ว พลันสองพ่อลูกได้ยินเสียงทำนุตะโกนเรียกชื้นให้เร่งตามพระวิจิตรที่ไล่กวดนายชาติไปด้วยความโกรธแค้นเพราะถูกโกง
เมื่อตามไปถึง ทำนุตะบันหน้าชาติหนึ่งที ก่อนเกิดการโต้เถียงเรื่องคดโกงธุรกิจที่ร่วมหุ้นกัน ซึ่งชาติเถียงคอเป็นเอ็นว่าไม่จริง พอโดนต่อยเลือดกบปากก็รีบเดินหนี ทิ้งให้พระวิจิตรกับทำนุเดือดดาลและอับอายชาวบ้านที่มุงมอง โดยเฉพาะพระนิติรักษ์กับปวีณา
กลับถึงเรือน พระนิติรักษ์เล่าเรื่องราวให้บิดาและคนในครอบครัวฟังอย่างสาแก่ใจ และสรุปว่าอีกไม่นานคนอย่างนายชาติย่อมรับผลกรรมที่ก่อ มิอยู่รอดสุขสบายไปได้
“ผิดคำพ่อเสียเมื่อไหร่ สวรรค์มีตาฟ้ามีใจ ใครที่มันทำทุรยศคดโกง ลงสุดท้ายมันย่อมรับกรรม แม้รวยถล่มคับฟ้า มีอำนาจมหาศาล ก็ต้องปราชัยสยบแก่ผลกรรม”
“คุณปู่คะ ชัยชนะของนิสิตนักศึกษาและประชาชนครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ คุณพ่อมีสิทธิ์ลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎรอย่างภาคภูมิค่ะ”
“คุณพระคิดเห็นเช่นไร”
พวกปริกกังวลใจ ไม่อยากให้พระนิติรักษ์ลงสมัครเลือกตั้งอีก แต่แล้วคำตอบก็เป็นที่พอใจของพวกเธอ
“ผมไม่ขอลงสมัครแล้วครับ”
พระยาอภิบาลแปลกใจเล็กน้อยแต่ไม่คัดค้าน ปวีณาผิดหวังพยายามหว่านล้อมบิดา
“นี่เป็นโอกาสดีที่คุณพ่อจะกลับมาใช้ความสามารถ แลเป็นหน้าเป็นตาให้วงศ์ตระกูลนะคะ”
“ล่วงมาถึงตอนนี้ ลงเล่นการเมืองไม่ใช่มีเพียงเจตนาดีและความสัตย์ซื่อ แต่ทุกการกระทำมันโยงใยเป็นระบบซ่อนกลและความสัมพันธ์ย้อนแย้ง มันแปรเปลี่ยนซับซ้อนเกินพ่อจะตั้งรับ แม้มิได้เป็นผู้แทนอันทรงเกียรติ แต่พ่อเชื่อว่าพ่อได้รับเกียรติจากคุณพ่อ จากอาๆและลูกของพ่อ”
ปวีณาหน้าสลดด้วยความผิดหวังที่พระนิติรักษ์ถอดใจในเรื่องนี้ พระยาอภิบาลเคี้ยวกินหมากสำราญใจที่รับฟังข่าวดี ลุกขึ้นมองไปยังเรือนพระวิจิตรอย่างสมเพช
เวลานั้นพระวิจิตรกำลังต่อว่าและเร่งเร้าทำนุให้จัดการเรื่องนายชาติ แต่ทำนุจนใจเพราะเขาเองก็โดน หมอนั่นโกงเหมือนกัน
“ไหนแกยืนยันว่ามันไว้ใจได้ นี่แกปัดความรับผิดชอบงั้นรึ”
“แล้วจะให้ผมทำยังไง มันโกงอย่างแยบยลเกินกว่าจะเอาผิด”
“นี่ยังดีที่พ่อยังยั้งใจ มิปล่อยให้มันกุมบัญชีโรงสีของพ่อ มิเช่นนั้นคงฉิบหาย”
“คุณพ่อครับ...ผมจะลงเลือกตั้งอีกครั้ง คุณพ่อช่วยสนับสนุนผม...”
“แกลงไปก็ใช่ว่าจะได้ มีแต่เสียกับเสีย”
“มันจะช่วยสร้างเกียรติและศักดิ์ศรีให้วงศ์ตระกูลนะครับ”
“เกียรติบ้าเกียรติบอ พ่อมิขอมีเอี่ยวแล้ว หาทางเอาหัวเอาตัวรอดมิให้อดอยากก่อนเถอะ”
พระวิจิตรตัดบทแล้วเดินหนีไปนั่งวิตกกังวลกับปัญหาที่ถูกโกง ส่วนทำนุผิดหวังที่ไม่ได้ลงเล่นการเมืองอีก พิศมร แทนพงศ์ และทันพันธุ์รับฟังปัญหาของทั้งคู่ด้วยความสงสาร
เมื่อเห็นแทนพงศ์เดินผ่าน พระวิจิตรต่อว่าอย่างหงุดหงิด “นายแทน...แกเป็นอาจารย์มีสิทธิ์ห้ามปรามลูกศิษย์ แต่มิกระทำการใดช่วยพ่อ”
“พวกเขามีสิทธิตามหน้าที่ครับ หากคุณปู่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย คุณปู่ก็ต้องรับฟังความเห็นต่าง และยอมรับการเปลี่ยนแปลง”
“พอๆ ฉันหาใช่ฐานะนิสิตของแก อย่ามาสั่งสอนฉัน”
พระวิจิตรเดินหนี แต่เจอทันพันธุ์ตรงเข้ามา เขาคิดว่าหลานชายคนเล็กจะมาเย้ย แต่ผิดถนัดทันพันธุ์บอกว่าตนอยากช่วยงานปู่
“แกคิดช่วยปู่ รึว่าแกไปมิรอด เขาไล่ออกจากงานงั้นสิ”
“เปล่าครับ...ผมจะลาออก ผมจะช่วยงานที่โรงสีและบริษัทคุณปู่! ผมจะเป็นมือเป็นเท้าให้คุณปู่ครับ”
“คนอย่างแกอาสามาช่วยฉัน แกคงมีข้อแลกเปลี่ยนเหมือนพ่อแก”
“ผมยินดีช่วยงานคุณปู่โดยมิมีข้อแม้ใดๆครับ เพราะผมเป็นหลานคุณปู่ ผมจะไปทำเรื่องลาออกครับ”
ทันพันธุ์เดินออกไป แทนพงศ์ก้าวตาม พระวิจิตรประหลาดใจที่ทันพันธุ์มาช่วยและเริ่มรู้สึกคลายกังวล ด้านพิศมรก็ไม่ซ้ำเติมสามีที่เคยเตือนเรื่องนายชาติแล้วเขาไม่เชื่อฟัง เธอนำเงินจากการขายที่ดินส่วนตัวแถวทุุ่งรังสิตมาช่วยกอบกู้งานในบริษัทของเขา
“นั่นมันเป็นที่ดินมรดกของคุณ”
“เงินของฉันก็เป็นของคุณ...เราเป็นสามีภรรยากัน ฉันยินดียืนเคียงข้างคุณไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข”
ทำนุรับเงินมาถือไว้ รู้สึกผิดที่เคยต่อว่าภรรยา
และตื้นตันใจที่เธอยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ฝ่ายทำนองพอรู้ว่าทันพันธุ์จะลาออกจากงาน ทั้งที่เป็นงานที่เขารักจึงทักท้วง แต่หลานชายอธิบายอย่างอารมณ์ดีว่า
“ผมลาออกก็ใช่ว่าลาขาดนี่ครับ ผมออกมาช่วยดูงานคุณปู่สักระยะ หากอยู่ตัวแล้วผมก็จะกลับไปทำงานอีกครั้ง เขาเทียบจะส่งอุ้มมารับถึงบ้าน เพราะผมเก่ง”
ทำนองขำแกมหมั่นไส้ ติงหลานชายลำพองตัวมากเกินไป
“ผมแหย่เล่นครับ ผมคิดว่าผมจะเปิดบริษัทเอง บ้านเมืองเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง งานออกแบบย่อมเติบโตด้วย ผมจะเก็บเงินไปสู่ขอปารมี”
“นี่นายยังไม่ตัดใจจากเธอ ทั้งๆที่พระยายังไม่ ยอมรับพานขอขมาจากเรา”
“ตราบใดที่ท่านมิหวดไม้ตะพดใส่ผม ผมจะเดินหน้าให้ถึงที่สุด”
“อาจะช่วยนาย มิใช่ว่าอาผิดหวังจากคุณปีบแล้วคิดเอาชนะพระยา แต่อาเชื่อในรักบริสุทธิ์ของนาย”
“ขอบคุณมากครับ” ทันพันธุ์ยิ้มหน้าบาน พนมมือไหว้ทำนองด้วยความดีใจ
ooooooo
แม้เรื่องตัวเองยังเป็นปัญหากับธารีไม่จบสิ้น เธอเริ่มแสดงความไม่พอใจหนักข้อเมื่อรู้ว่าเขายังแวะเวียนไปเรือนพระยาอภิบาล แต่ทำนองก็ไม่ล้มเลิกที่จะช่วยทันพันธุ์ให้สมหวังในรัก
ทำนองไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนตนและคู่ของธนา จึงไปกราบขอร้องหม่อมเจ้าหญิงพิไลลักขณา ธิดาในเสด็จที่พระยาอภิบาลเคารพนับถือมาเป็นผู้ใหญ่สู่ขอปารมี พระยาอภิบาลต่อว่าทันพันธุ์อาศัยบารมีคนอื่นหาผลประโยชน์เฉกเช่นเดียวกับพระวิจิตร แต่ชายหนุ่มก็ย้อนว่าตนเพียงให้หม่อมเจ้าหญิงมาช่วยเปิดประตูเจรจาเท่านั้น แต่ใจของเขาต่างหากที่จะขอคุยกับท่านพระยา
ทันพันธุ์แสดงความรักและจริงใจที่มีต่อปารมีมายาวนาน มิใช่หวังมาหาผลประโยชน์ใดๆ และสิ่งที่เขาทำมิใช่เพียงสมานแผลใจทั้งสองตระกูล แต่มันคือความรักและยินดีที่จะดูแลปารมีด้วยชีวิต
“ขนาดนั้นเชียวรึ รักมากขั้นพอจะเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของฉันได้หรือมิได้...ตอบฉันมาสิ รักหลานสาวฉันก็จงเลิกแยแสจิตรการ แล้วเปลี่ยนมาใช้ธรรมคุณ”
“ผมคิดว่ามันออกจะหนักเกินไป” ทำนองท้วงติง แต่หยุดนิ่งเมื่อเห็นสายตาของหลานชายที่มองมา
ทันพันธุ์ตอบคำถามนั้นอย่างสุขุม “ผมทราบว่าท่านเจ้าคุณภูมิใจในนามสกุลและต้องการมีลูกหลานสืบสกุลธรรมคุณ การที่ท่านเจ้าคุณจะกรุณาให้ผมใช้นามสกุลนั้น ผมถือเป็นเกียรติครับ ถ้าท่านเจ้าคุณไม่แน่ใจว่าผมดีพอ คงมิกล้าเสี่ยงให้ผมใช้นามสกุลอันมีเกียรติเป็นแน่”
พระยาอภิบาลนิ่งงันกับเหตุผลของชายหนุ่ม หม่อมเจ้าหญิงพิไลลักขณายิ้มพอใจและประทับใจคำตอบนั้น หันไปกระซิบทำนองว่าหลานเธอเข้าใจตอบแท้ เจ้าคุณหักไม่ลง
พระยาอภิบาลยังไม่ยอมแพ้ เย้ยหยันว่า “ก็แน่ล่ะ นามสกุลจิตรการของเธอมันไม่มีอะไรควรภูมิใจ ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าเป็นคนยังไง พูดกันตรงๆ ฉันไม่รังเกียจเธอหรอก แต่ฉันเกลียดปู่ของเธอรวมไปถึงพ่อของเธอด้วย หวังว่าคงจะเข้าใจ”
“ผมไม่อยากแก้ตัวแทนคุณปู่และคุณพ่อ นอกจากขอยืนยันว่าการที่บรรพบุรุษทำอะไรลงไปก็เป็นเรื่อง
ของท่าน...มันไม่ใช่เรื่องของลูกหลานซึ่งเกิดทีหลังต้องรับผิดชอบด้วย เพราะย้อนหลังกันไปห้ามมิได้ ถ้าท่านเจ้าคุณคิดว่าลูกหลานควรรับผิดชอบการกระทำของบรรพบุรุษล่ะก็...ลูกนักโทษมิต้องเกิดมาเป็นนักโทษอย่างพ่อรึครับ”
พระยาอภิบาลสะอึกเมื่อถูกย้อนถาม หม่อมเจ้าหญิงพิไลลักขณาหันไปกระซิบทำนองอีกครั้งว่า “เจ้าคุณถึงตาจนเสียแล้วล่ะ”
“เธอมันเจ้าคารม ถึงอย่างไรก็ต้อนฉันให้จนมุมมิได้หรอก”
“ผมไม่ได้หวังจะต้อนให้ท่านจนมุม แต่ผมพูดด้วยเหตุผลซึ่งผมคิดว่าท่านจะรับฟัง”
“ถ้ามิฟัง ฉันไล่ตะเพิดเธอออกไปนอกเรือนเสียแต่ต้นแล้ว แต่ที่ฉันรับฟังก็มิได้หมายความว่าฉันจะยอมผ่อนยกแม่ปารมีให้”
ทันพันธุ์ผิดหวังที่พระยาอภิบาลยังดื้อดึง หม่อม– เจ้าหญิงพิไลลักขณาตัดบทอย่างนุ่มนวล
“ฉันคิดว่าให้เจ้าคุณอภิบาลท่านมีเวลาตัดสินใจสักหน่อยจะดีกระมัง ฉันมากวนเวลาเจ้าคุณมากแล้ว ฉันต้องลากลับเสียที ฉันหวังในใจว่าเจ้าคุณคงมิด่วนตัดรอนเด็ดขาดนะจ๊ะ”
หม่อมเจ้าหญิงพิไลลักขณายังคงขอความเห็นใจจากพระยาอภิบาล แล้วบอกทันพันธุ์กับทำนองขณะกลับออกมาหน้าเรือนว่าไม่ใช่ของง่ายที่จะทำให้เจ้าคุณเปลี่ยนความตั้งใจ แต่ในฐานะที่ตนมาช่วยเป็นสื่อให้ ก็ขอช่วยภาวนาให้ทันพันธุ์ได้แต่งงานสมปรารถนา และเท่าที่ตนสังเกตดูเจ้าคุณอภิบาลก็อ่อนลงบ้างแล้ว อาจเป็นเพราะแก่ตัวลง หรือเพราะไม่เกลียดทันพันธุ์ก็เป็นได้
“แล้วหม่อมควรจะทำอย่างไรต่อไปหม่อม” ทำนองถาม
“รอฟังว่าเจ้าคุณอภิบาลจะว่ายังไง ถ้าแกเงียบไปนานแล้วค่อยปรึกษากันใหม่ ว่าแต่พระวิจิตรทราบเรื่องดีแล้วรึ”
สองอาหลานนิ่งไปอย่างเป็นกังวล เพราะยังไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่พระวิจิตร...แน่นอนว่าเมื่อกลับมาบอก พระวิจิตรตั้งป้อมต่อว่าทั้งคู่ว่าวิ่งไปถึงขุมไหน เขายกหลานสาวให้หรือยัง ทันพันธุ์บอกว่าท่านพระยายังไม่ได้ตัดสินใจ
“มันคงรอให้แกกราบตีนสิท่า”
“ถ้าผมกราบเท้าเจ้าคุณอภิบาล แล้วแกยอมยกหลานให้ ผมก็จำต้องทำครับ”
“แกกราบตีนมันสิ แล้วแกไม่ต้องเรียกฉันว่าปู่”
พระวิจิตรหงุดหงิดเดินหนีไปเจอทำนุก็โวยวายใส่ “แกต้องสั่งสอนลูกให้มันเชื่อฟังกันบ้าง มิใช่เป็นคนชนิดหัวรั้นขัดคำฉัน”
ทำนุไม่ทันตั้งตัว ทันพันธุ์ตามเข้ามาไหว้ขอโทษปู่หากทำให้ท่านไม่พอใจ แต่ตนทำไปด้วยความรักและเจตนาบริสุทธิ์ พระวิจิตรไม่ฟัง หาว่าทันพันธุ์หลงหลานสาวพระยาหัวปักหัวปําร้องด่าว่า “แกมันบ้าไปแล้ว”
“ผมไม่ได้บ้า แต่คุณปัทมาต่างหากที่เป็นบ้า บ้าเพราะได้รับหนังสือขอหย่าจากอาธนา”
ทำนุ พิศมร แทนพงศ์ที่เข้ามาได้ยินพากันตกใจ พระวิจิตรเองก็พูดไม่ออกไปชั่วครู่ พอทำนองถามว่าใครจะรับผิดชอบในเคราะห์กรรมของปัทมา ถ้าไม่ใช่ธนากับทานตะวัน พระวิจิตรหาว่าทำนองพล่ามเกินจริง มันเป็นกรรมของปัทมาเอง
“คุณพ่อมักป้ายสีกล่าวโทษฟ้าดิน แต่ผมไม่เคยเห็นคุณพ่อโทษตัวเอง”
“นายทำนอง! แกก็ยุยงให้หลานมันข้ามหัวพ่อ”
ทำนองไม่อยากต่อความยาวเดินเลี่ยงไป พระวิจิตรหงุดหงิดใหญ่ หันมาเล่นงานทันพันธุ์อีกว่าที่ทำดีมาช่วยงานเพราะหวังให้ปู่ยอมเรื่องนี้
“มันคนละเรื่องกันครับ ผมช่วยคุณปู่เพราะเราเป็นครอบครัว ถึงแม้คุณปู่มิเห็นชอบกับผม ผมก็จะเดินหน้าเพราะเป็นชีวิตผม ผมนับถือในความสุจริตใจ ความเคารพตัวเองของพระยาอภิบาลบำรุง และถ้าผมแต่งงานกับหลานสาวเจ้าคุณ ผมก็จะภูมิใจในตัวหล่อนเช่นกัน”
พูดจบทันพันธุ์ผละไปทันที พระวิจิตรหัวเสียไม่รู้จะลงที่ใคร สั่งพิศมรให้ห้ามลูกไปยุ่งเกี่ยวกับหลานสาวพระยาอภิบาล แต่พิศมรบอกว่าคงสายไปแล้ว เพราะในอดีตคุณพ่อคอยกล่อมให้แกเข้าไปหาหลานสาวท่านพระยา และในฐานะแม่ ตนเป็นเพียงผู้ให้กำเนิด มิได้เป็นเจ้าชีวิต...ฝ่ายแทนพงศ์กับทำนุ พอโดนพระวิจิตรบังคับให้ห้ามปรามทันพันธุ์ สองคนก็ไม่ตอบสนองอีก อ้างว่าเคารพการตัดสินใจของทันพันธุ์
“ลูกหลานบ้านนี้หามีใครได้เรื่องสักคน!” พระวิจิตรโวยวายลั่นบ้าน ผิดหวังที่ไม่ได้ดั่งใจและกำลังจะเสียท่าให้พระยาอภิบาล
ooooooo