ตอนที่ 12
การกระทำของปัทมาสร้างความทุกข์ร้อนให้ทั้งเครือญาติและบ่าวไพร่ แม้เธอไม่ตายเพราะโชคดีที่พระยาอภิบาลช่วยเหลือทัน แต่กระนั้นบ่าวบางคนก็เชื่อว่าตัวปัทมาไม่ตายแต่ใจเธอตายล่วงไปแล้ว
ปัทมานอนหมดอาลัยตายอยากหลังได้รับการเยียวยาจากน้องสาวและอาทั้งสาม ดวงตาเธอเหม่อลอยสิ้นหวัง บ่นอยากตาย ขอร้องอาปีบช่วยสงเคราะห์ตนด้วย จำปาทนฟังไม่ได้ตำหนิเสียงขุ่น
“แม่ปัทพูดกระไรกัน รู้รึไม่ การฆ่าตัวตายเป็นบาปหนัก ตายไปตกทุคติภูมิ แม้เกิดใหม่ก็ต้องตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าห้าร้อยชาติ”
“เป็นเยี่ยงนั้นก็ดีสิคะ ตกนรกขุมใดก็ไม่ขัดเลย ปัทหมดอาลัยกับชีวิต ถ้าไม่มีคุณธนา”
ปัทมาร้องไห้คร่ำครวญ ปารมียิ่งสะเทือนใจ ขณะที่ปริกไม่พอใจ ต่อว่าปัทมาประหลาดผ่าเหล่าผ่ากอ จะทำการใดคิดถึงหัวอกคนข้างหลังสักนิด ทุกคนทุกข์หนักเพราะรักและห่วงเธอ แต่เธอกลับไม่รักตัวเอง
“ไม่มีใครรักปัท คุณปู่เกลียดปัท ทรมานปัท”
“นี่เธอยังจะถือเอานิยมนิยายอะไรอีก ที่รอดตายมาครวญคร่ำอยู่นี่เพราะใคร ไม่ใช่คุณปู่หรอกรึ หากคุณพ่อมิเข้ามาช่วย เธอตายไปแล้ว”
“ก่อนหน้าปานไปขอคุณปู่ให้เห็นใจปล่อยตัวพี่ปัท คุณปู่คงคิดเป็นห่วง และอาจมีเปลี่ยนใจ ถึงเข้ามาหาพี่ปัท”
“แม่ปัทเลิกโยนความว่าคนอื่นไม่รักเธอเสียที แม่ปัทต่างหากที่ไม่เคยเห็นความรักของใคร ทุ่มใจให้เขาหมดหน้าตัก พอเขาทิ้งไปก็ไม่เหลือใจให้ใคร โดยที่แท้แล้วมันถูกหรือแม่ปัท คิดถึงหัวอกอา คิดถึงใจน้องบ้าง”
ฟังทั้งอาและน้องสาวแล้วปัทมาเริ่มสำนึกผิดปารมีมีแต่ความรักและสงสาร จับมือพี่สาวปลอบโยน
“พี่ปัทอย่าทำอย่างนี้อีกนะคะ ปานรักพี่ปัทพวกเรารักพี่ปัทนะคะ”
ปัทมาน้ำตารินเมื่อรู้ว่าทุกคนรักและห่วงใยเธอมาก แต่แล้วปวีณาเดินตรงเข้ามาจ้องมองปัทมาอย่างชิงชังรังเกียจ เย้ยว่ายังหายใจได้หรือ ตนคิดว่าตายแล้วเสียอีก
“ฉันไม่รู้จะนิยามตัวพี่ยังไงถึงจะสาสม สร้างเรื่องมิหยุดหย่อน”
“แต่พอการแม่ณา เธอเองก็ไม่ผิดจากแม่ปัท เทียวยุหยันจนเกิดความใหญ่”
ปวีณาไม่สนใจคำต่อว่าของปริก แล้วยิ่งได้ใจใหญ่เมื่อพระยาอภิบาลตรงเข้ามาด่าปัทมา
“นังอัปรีย์! แกหมายจะตายเป็นผีให้เขาตีแสกหัวว่าปู่มันเลว ทำเหลวระยำกับเอ็งสิท่า บูชาความรักเทิดทูนมันสุดหัวใจ ลงเอวังเป็นไง มันทิ้งให้นอนตายเป็นนางเปรตอยู่ตรงนี้ ป่านนี้มันแล่นไปเสวยสุขอยู่สวรรค์ชั้นฟ้าไหนแล้ว”
ปัทมายิ่งสะอื้นไห้ คิดตามคำพูดของปู่ ปีบเป็นห่วงความรู้สึกปัทมา ยกมือไหว้ขอร้องบิดาอย่าซ้ำเติมอีก เพียงเท่านี้ใจปัทมาก็แทบแหลกแล้ว พระยาอภิบาลไม่ใส่ใจ ชี้หน้าขู่ปัทมาก่อนเดินกลับออกไป
“อย่าให้ข้าได้ยินเสียงสะอื้นไห้คร่ำครวญลอดออกไป ถ้าเล็ดออกไปเพียงนิด ข้านี่แหละจะเป็นคนฆ่าให้ตายเองกับมือ”
ปวีณายิ้มเย้ยปัทมาแล้วก้าวตามปู่ไป ได้ยินท่านกำชับบ่าวไพร่ให้เก็บเรื่องปัทมาผูกคอตายเป็นความลับ อย่าแพร่งพรายให้ใครเอาไปนินทาว่าร้าย โดยเฉพาะพวกพระวิจิตร
บ่าวทุกคนรับคำแข็งขัน โดยเฉพาะหวานกับพุดที่ต้องออกไปจ่ายตลาด สองคนเลี่ยงหนีทันพันธุ์กับชื้นที่มาคอยดักเจอปารมี พุดย้ำเตือนหวานว่า
“ข้าสังหรณ์ใจว่าพวกเรือนโน้นตามมา ไอ้หวานเอ็งอย่ามีพิรุธสักกระดิกตัวให้เขาจับได้ว่าเราหนี กลืนความสั่นลงไปเสีย”
“นี่เอ็งไม่มีพิรุธสักนิดสินะ” หวานศอกกลับ เพราะเห็นพุดขาแข้งสั่นอยู่เหมือนกัน
แล้วสองคนก็จนแต้มไม่กล้าหนีเพราะเกรงใจทันพันธุ์ที่เข้ามาขอคุยด้วย ทั้งหมดพากันไปนั่งในร้านกาแฟ หวานเร่งชายหนุ่มมีอะไรให้พูดมา อ้างว่าตนต้องรีบไปซื้อของ
“คุณปารมีล่ะ เธอไม่มาจ่ายตลาดเหมือนเคย...รึเกิดเหตุที่เรือน”
หวานเผลอตอบรับ แต่พอพุดส่งสายตาดุใส่ก็นึกได้ ปดว่าแก้วไม่สบาย คุณปารมีต้องอยู่ดูแล ชื้นฟังแล้วแปลกใจ บ่นว่าบ่าวเป็นไข้ทำไมเจ้านายต้องดูแล
“คุณหนูปารมีเธอเมตตานังแก้วน่ะสิ”
“แล้วขนมล่ะ คุณอาๆมิทำขนมมาขายรึ”
พุดหน้าเสียที่ทันพันธุ์ซักถามเพิ่ม หวานตกใจชิงตอบไปโดยไม่ทันไตร่ตรองว่า พวกคุณๆก็ดูแลนังแก้ว
“บ๊ะ! ประหลาดแท้ แค่บ่าวคนเดียว เจ้านายถึงกับหยุดการหยุดงาน”
“นังแก้วมันมีบุญ ใครๆก็เอ็นดูรักใคร่มัน”
ทันพันธุ์เห็นข้อพิรุธของบ่าวเรือนพระยาอภิบาลแล้ว จึงแกล้งถามว่าแก้วเป็นอะไร คงเจ็บหนัก พุดกับหวานตอบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่คำตอบแตกต่างไม่เหมือนกัน
คนหนึ่งบอกแก้วเจ็บขา อีกคนบอกว่าเจ็บแขน แล้วก็สะดุ้งไปด้วยกัน ก่อนที่หวานจะตอบอีกครั้งว่าเจ็บคอ พุดรีบเออออว่าแก้วแบกของหนักเลยเจ็บและปวดคอ
ว่าแล้วตัดบทขอตัวไปซื้อของ ทันพันธุ์คิดถ่วงเวลาเพื่อจับพิรุธ บอกว่าโอเลี้ยงที่ตนสั่งให้ยังเต็มแก้ว อยู่คุยกันต่อแล้วค่อยไป พุดไม่อยากอยู่เพราะกลัวถูกซัก ขยิบตามองหวาน แล้วสองคนก็พร้อมใจกันซดโอเลี้ยงหมดแก้วอย่างรวดเร็ว
ooooooo
ทันพันธุ์แน่ใจว่าสองคนมีเรื่องปิดบัง จึงให้ชื้นไปสืบที่เรือนพระยาอภิบาล ไม่นานนักชื้นก็กลับมาพร้อมความจริงว่าเกิดเหตุร้ายปัทมาผูกคอตาย...แก้วนั่นเองที่กระซิบบอกชื้น หลังจากโดนเขาคาดคั้นหนัก แต่กำชับชื้นฟังแล้วเหยียบเป็นความลับ
เมื่อทันพันธุ์กับแทนพงศ์รู้เรื่องนี้ สองหนุ่มตั้งใจต้องตามหาธนาให้พบ แต่ไม่ทันออกไปไหนก็โดนพระวิจิตรล่อหลอกว่าตนเพิ่งส่งธนาไปอเมริกาเมื่อสักครู่นี้เอง
“คุณปัทมาเธอตั้งใจฆ่าตัวตายครับ แต่ช่วยไว้ได้”
พระวิจิตรตกใจเล็กน้อย แต่ไม่เศร้าใจ เปรยว่าบุญดีที่ไม่ตาย ฝากหลานบอกปัทมาด้วยว่าต้องรอหน่อย สองหนุ่มผิดหวังที่ไม่สามารถยับยั้งธนาไว้ได้ พระวิจิตรลอบมองยิ้มๆ พอใจที่สกัดหลานทั้งสองสำเร็จ
ปารมีดูแลปัทมาเป็นอย่างดี ไม่ให้คลาดสายตาตามที่อากำชับ ปริกทุกข์ใจทั้งเรื่องปัทมาและปากท้องของทุกคนในเรือน เธอบอกน้องๆว่าจะไม่ทนอีกต่อไป พ่อให้พี่ปรุงกุมเงิน พวกเธอย่อมรู้ว่าจะลงเอยอย่างไร
ปริกตัดสินใจเข้าไปหารือบิดาว่าตนต้องการเปิดร้านอาหาร ใช้เรือนเราบางส่วนปรับแต่งเป็นร้าน
“จะเป็นบ้ารึ พ่อมิยอม”
ปริกอธิบายความต่ออย่างใจเย็น เสมือนไม่ได้ยินคำคัดค้านนั้น
“ร้านของเราขายทั้งอาหารคาวและของหวานใหม่ๆ เรี่ยมๆ รสชาติล้ำและรายการอาหารไม่ผิดตำรับชาววังดั้งเดิม”
“แม่ปริกเลิกพล่ามเถอะ พ่อฟังแล้วทารุณเหลือดี”
“อาหารแบบนี้หารับประทานยาก คงมีลูกค้าทั้งคนไทยเองและชาวต่างชาติอยากลิ้มรสรสชาติไทยโบราณ เป็นการอนุรักษ์และสืบทอดตำรับอาหารไทย”
“แม่ปริกจะต่อคะยั้นคะยอเข้าอีกเท่าใด หัวเด็ด ตีนขาดพ่อก็มิยอมให้เปิดร้าน”
จำปากับปีบฟังอยู่รอบนอก ตกใจที่บิดาโวยวายลั่น พระนิติรักษ์ได้ยินเสียงเอะอะจึงเดินเข้ามายืนข้างน้องๆ
“เมื่อครั้งขายขนมหวานก็หนักไปทีนึงแล้ว พ่อเกินจะรับ นี่จะแปรเรือนเป็นสวนสาธารณะ ทีนี้ไพร่ผู้ดีขี้ข้าโถมเข้ามาก็ต้องทำพินอบพิเทาเพราะมันแบกเงินมาให้”
“เพราะเราคิดเสียอย่างนี้สิคะคุณพ่อ คนไทยถึงค้าขายสู้คนอื่นมิได้”
“ตระกูลเราเป็นขุนนาง ใช่พ่อค้า พ่อค้ามันจะทำคะนองกันยังไง กราบตีนกราบมือใครพ่อมิรู้ด้วย แต่ขุนนางต้องมีเกียรติยศ มิใช่เกียรติยศจอมปลอมมีแต่เปลือกเหมือนสมัยนี้”
“ลูกไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณพ่อยุ่งเกี่ยวกับพวกลูก ถ้าคุณพ่ออนุญาตลูกจะกั้นรั้วให้เป็นสัดส่วน”
“มิยุ่งมิเกี่ยวได้ยังไง ในเมื่อพวกแกเป็นลูกฉัน เฮอะ! ลูกพระยาอภิบาลขายข้าวแกง”
“เราอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะอาชีพแม่ค้าขนมค่ะ ลูกไม่ได้คิดร้ายทำสิ่งใดขัดใจหรือขัดต่ออุดมคติของคุณพ่อ แต่แรกก็คิดว่าคุณพี่เธอจะสมัครผู้แทนราษฎรได้ แต่นี่ไม่มีหวังเสียแล้ว ซ้ำแล้วคุณพี่ยังไปกู้เขามา ถ้าไม่ขวนขวายจะหาที่ไหนใช้เขาล่ะคะ”
“พ่อให้คุณพระกุมเงิน คุณพระมีสติปัญญาคิดหาวิธีได้”
“คุณพ่อยังวางใจคุณพี่หรือคะ”
พระยาอภิบาลสะอึก เพราะทราบดีว่าพระนิติรักษ์ไม่สามารถทำได้ ขณะที่เจ้าตัวได้ยินก็สะเทือนใจ
“ลูกยังคงรักและศรัทธาในตัวคุณพี่ปรุง ยกย่องนับถือในวิชาความรู้ที่คุณพี่ร่ำเรียน แต่พวกเราคงอดตายและต้องลี้จากเรือนนี้ หากใจเบาปล่อยให้คุณพี่ปรุงดูแล”
พระนิติรักษ์รู้สึกแย่มาก เดินออกไปตัวเบาโหวง โดยมีสายตาของจำปา ปีบ และปารมีมองตามด้วยความสงสาร ขณะที่ปริกยังพยายามหว่านล้อมบิดาต่อไป
“ถึงเวลานี้...เพื่อความอยู่รอดของทุกคน คุณพ่อถอดหัวโขนเถอะค่ะ หัวโขนมันหนักอึ้งเกินกว่าจะรับไหว วางมันลงพวกลูกอาภัพที่เกิดเป็นหญิงมิได้ร่ำเรียนสูงส่ง แต่หาใช่จะด้อยปัญญา ให้พวกลูกช่วยทำกินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องช่วยเหลือนะคะคุณพ่อ”
“มาทำลิ้นร้ายใส่พ่อเท่าใด พ่อก็มิยอมให้พวกขี้ครอกมาเหยียบเรือน”
พระยาอภิบาลยืนกรานเสียงแข็งแล้วเดินหัวเสียออกไป ปริกผิดหวังและถอดใจ บอกน้องๆว่าตนพยายามถึงที่สุดแล้ว ตนจะไม่ขัดขวางคุณพ่ออีก
ปารมีเดินตามบิดาไปที่ท่าน้ำ เห็นท่านนั่งเหม่อมองสายน้ำหน้าตาเศร้าหมอง เธอเดินเข้ามานั่งข้างๆ แต่ไม่พูดอะไรสักคำ จนกระทั่งท่านหันมาถามว่าลูกมีเรื่องใด ปารมีบอกว่าตนแค่อยากมานั่งเป็นเพื่อนพ่อ
“ลูกเองก็คงผิดหวังในตัวพ่อ พ่อทำอะไรไม่เคยประสบผล”
“ปานไม่เคยคิดเช่นนั้นค่ะ ปานภูมิใจในตัวคุณพ่อเสมอ ปานมีความสุขที่ได้เกิดเป็นลูกคุณพ่อค่ะ คุณพ่ออย่าเอาอดีตมาทำร้ายความเชื่อมั่นตัวเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป เหมือนกับสายน้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับ แต่เราเริ่มต้นใหม่ได้ ตราบใดที่เรายังมีความหวัง...ปานรักคุณพ่อค่ะ”
พระนิติรักษ์รับรู้สิ่งที่ลูกสาวพูด แต่เวลานี้เขาอยากอยู่คนเดียว เพราะยังรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง...
ถึงเวลาอาหารเย็น พระยาอภิบาลหงุดหงิดใจที่บ่าวยกสำรับมาช้ากว่าปกติ พอเห็นอาหารก็โมโห มีปลาทอด ตัวเดียวกับน้ำพริกผักต้ม ถามว่าพวกหมูเนื้อหายไปไหนหมด
“คุณๆมิได้ซื้อมาเจ้าค่ะ”
“แม่ปริกคิดเล่นแง่กับข้า”
พระยาอภิบาลแล่นไปที่เรือนครัวเพื่อเอาเรื่องปริก ด่าปาวๆว่าทุกคนสุมหัวกันแกล้งตน ทำเป็นไม่มีสำรับพอเพื่อให้ตนอ่อนใจยอมเปิดร้านอาหาร แต่ทุกคนมากินหมูเห็ดเป็ดไก่กันอร่อยปาก
ด่าเสร็จเพ่งมองจานอาหารมีแต่น้ำพริกผักต้มกับผัดผัก ไม่มีเนื้อสัตว์สักอย่าง พระยาอภิบาลถึงชะงัก
พอดีปารมีถือกระจาดใส่ดอกแคเดินตรงเข้ามาไม่ทันเห็นคุณปู่ ร้องบอกอาว่าตนเก็บดอกแคได้เยอะ เอาไว้ต้มแกง พระยาอภิบาลรับรู้ว่าทุกคนลำบากก็รู้สึกผิด
“นี่เราขัดสนหนักแล้วใช่ไหม”
ปริกพูดไม่ออก จำปาจึงตอบเสียเองว่า
“มิถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ เพียงแต่เงินที่ใช้จ่ายมีจำกัดจำเขี่ย พวกเราจึงต้องมัธยัสถ์ อะไรที่ไม่ต้องซื้อหาก็นำมาทำกิน จะเอาเงินเก็บไว้จ่ายค่าจำนองบ้านค่ะ”
พระยาอภิบาลอ่อนลง ยอมรับความจริงมากขึ้น ถามปริกว่าขนมยังขายดีอยู่หรือ ปีบตอบแทนพี่สาวว่าทำไม่ทันส่งขายแต่กำไรไม่มากนัก สู้ขายอาหารไม่ได้
“พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว”
ปริกผิดหวังที่บิดายังห้ามปรามเรื่องนี้ จึงคว้ากระจาดไข่จะออกไปทำที่อื่น
“นั่นแม่ปริกจะไปไหน”
“ลูกจะตอกไข่หยอดขนมค่ะ”
“แม่ปีบพูดมิทันขาดคำ ขายขนมหาได้กำรี้กำไรแล้วจะนั่งหลังขดหลังแข็งทำอยู่อีก คิดจะขายอาหารก็กั้นอาณาเขตอย่าให้ใครต่อใครเข้ามาเหยียบย่ำบนหัวฉันก็แล้วกัน”
ทุกคนตื่นเต้นยินดีที่พระยาอภิบาลยอมให้เปิดร้านขายอาหารเพื่อความอยู่รอด หลังจากท่านเดินลับไปแล้ว ปริกย้ำว่าเราต้องช่วยกันให้คุณพ่อเห็นว่าแม้นเป็นหญิงก็มีหัวเอาตัวรอดมิยิ่งหย่อนกว่าชาย จำปากับปีบรับคำแข็งขัน ส่วนปารมีก็อาสาช่วยคุณอาสุดกำลัง
ooooooo
หลังจากพระยาอภิบาลเปิดใจอนุญาตให้ปริกเป็นหัวเรือใหญ่เปิดร้านอาหารเพื่อความอยู่รอดของทุกคน พวกปริกเตรียมการสร้างร้านโดยแบ่งกั้นเขตจากเรือนให้เป็นสัดส่วน
พระนิติรักษ์เห็นน้องๆช่วยกันทำงานก็รู้สึกสมเพชตัวเอง ตัดสินใจลุกขึ้นมาช่วยเหลืองานในร้านและเปิดใจยอมรับในความสามารถของผู้หญิงมากขึ้น
ทันพันธุ์ทราบเรื่องจึงเข้ามาช่วยเหลือเพราะเขาชำนาญเรื่องการออกแบบ ปารมีเกรงอาทั้งสามจะล่วงรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่กลายเป็นชายหนุ่มกลับเป็นฝ่ายบอกอาของเธอเสียเองว่าเขาคือหลานชายคนเล็กของพระวิจิตร
ปริก จำปา และปีบตกใจและขอร้องไม่ให้ทันพันธุ์ เข้ามาอีก แต่ชายหนุ่มยืนยันจะเข้ามาช่วยงานและเยี่ยมปัทมาเพราะเธอคือญาติคนหนึ่ง เขาต้องรับผิดชอบชีวิตเธอ เพื่อแก้บาปที่ธนาทำไว้กับเธอ อีกทั้งเขาก็คาดหวังว่าธนาที่ไปอเมริกาจะกลับเมืองไทยทันทีหลังจากได้รับจดหมายที่แทนพงศ์ส่งไปเล่าเรื่องราวของปัทมา
ปารมีนำเรื่องแทนพงศ์ส่งจดหมายไปแจ้งธนามาบอกปัทมาเพื่อให้เธอมีความหวังและกำลังใจ ปรากฏว่าเธอกระตือรือร้นลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง ไม่มีชีวิตอยู่อย่างหมดอาลัยตายอยาก
ฝ่ายธนาเมื่อได้รับจดหมายก็ตกใจมาก คาดไม่ถึงว่าปัทมาจะคิดฆ่าตัวตาย เขาเล่าให้ทานตะวันฟังทั้งน้ำตาอย่างรู้สึกผิดมาก ทานตะวันโอบกอดปลอบใจเขา เป็นจังหวะที่อรรถเข้ามาเห็นหลังจากไปหาเธอที่ห้องพัก แล้วไม่เจอ
แน่นอนว่าอรรถซึ่งมีความระแวงในตัวทานตะวันอาจรักธนา จึงต่อว่าเมื่อเธอเป็นฝ่ายตำหนิเขาก่อนว่าเข้ามาทำไมไม่เคาะประตูห้อง
“ผมเคาะแล้วแต่คุณไม่ได้ยิน เพราะคุณมัวสนใจน้านาของคุณ เอาเถอะ ผมไม่อยากเสียเวลาเรื่องงี่เง่าของน้าคุณ เราเลทกันมากแล้ว เพื่อนๆรอปาร์ตี้”
“ฉันขอตัวค่ะ ฉันจะอยู่ดูแลน้านา”
“น้านาของคุณไม่ใช่เด็ก มันเป็นปัญหาของเขา มิใช่ปัญหาของเรา”
“แต่น้านาเป็นญาติของฉัน คุณไม่เข้าใจหรอก”
“ใช่...ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจมานานแล้วด้วย ผมคิดว่าเรามาอยู่ที่นี่เราจะได้อยู่ด้วยกัน แต่น้าคุณก็ตามมา คุณก็ออกจะดีใจเกินหน้าเกินตา เอาใจใส่น้าคุณตลอดเวลา น้านากินข้าวรึยัง ใครซักเสื้อผ้าให้น้านา...ผมถามจริงเหอะ ตกลงคุณเป็นญาติรึเป็นชู้รักอย่างที่เขาพูดกัน”
ฉาด! ทานตะวันตบหน้าอรรถเต็มแรง อรรถไม่พอใจเข้าไปจับตัวเธอเขย่าอย่างหมดความอดทน
“บอกมาสิ พวกคุณเป็นอะไรกัน คุณรักมันใช่ไหม”
“หยุดเดี๋ยวนี้” ธนาแผดเสียง
อรรถไม่อยากมีเรื่อง เร่งทานตะวันให้ไปกับตน แต่เธอกลับบอกว่าไม่มีอารมณ์ปาร์ตี้แล้ว อรรถผิดหวังขว้างกระป๋องเบียร์ในมือลงพื้นแล้วเดินออกไปทันที ทานตะวันตกใจกับพฤติกรรมแข็งกระด้างของอรรถ สีหน้าท่าทางเธอรับไม่ได้ ธนาปลอบใจเธอว่า
“ตะวันควรจะเอาใจใส่เขาให้มากกว่านี้ ตะวันเป็นแฟนเขาก็ควรดูแลเขาให้ดี อย่าให้เขาไม่สบายใจ”
“น้านาอยากให้ตะวันไปกับเขาใช่ไหมคะ ตะวันก็จะไปค่ะ”
“ตะวันประชดประชันเหมือนกับว่าตะวันไม่ได้รักคุณอรรถ”
ทานตะวันไม่ตอบ แกะมือธนาออกจากแขนแล้วผลุนผลันจากไป
ooooooo
เวลาผ่านไป อรรถซึ่งอยู่ในอาการเมามายเข้ามาคว้าตัวทานตะวันก่อนที่เธอจะกลับเข้าห้องพักในคืนนั้น
“คุณอรรถ คุณเมามากแล้ว กลับไปเถอะ”
“ผมไม่กลับ”
“งั้นก็ออกไปคุยข้างนอก คุณควรเกรงใจน้านาบ้าง”
“ทำไมผมต้องเกรงใจ แฟนผมพักที่นี่ ผมก็มีสิทธิ์ เข้าออก เขาหายหัวไปแล้ว คงฆ่าตัวตายตามเมียไปแล้วมั้ง”
ธนายืนฟังที่มุมหนึ่งไม่พอใจ แต่ก็ยั้งใจเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาสองคน แต่ทานตะวันทนไม่ได้ขึ้นเสียงสั่งอรรถหยุดก้าวร้าวหัวใจน้านาของตนเสียที
“คุณออกรับแทนมันอีกแล้ว น้านาของคุณ คุณชอบมัน คุณรักมันใช่ไหม”
“ใช่ ฉันรักน้านา ฉันไม่เคยรักคุณ”
ธนาแทบไม่เชื่อหูเมื่อรู้ว่าทานตะวันรักเขา ขณะที่อรรถไม่มีท่าทีประหลาดใจ มีแต่ความโมโหฉุนเฉียวยิ่งขึ้น
“ผมคิดอยู่แล้วเชียว คุณคบผมบังหน้าเพื่อหนีคดีรักสามเส้า”
“ฉันพยายามเปิดใจให้คุณ แต่คุณกลับหยาบคายเกินกว่าที่ฉันจะรับได้”
“ใช่สิ ผมไม่ดีไม่สุภาพเหมือนน้านาของคุณ ในโลกนี้ใครจะวิเศษวิโสเท่าน้านาของคุณ”
อรรถบีบแขนและเขย่าทานตะวันหัวสั่นหัวคลอน ธนาตกใจเข้ามาดึงอรรถแล้วต่อยโครม
“หยุดทำร้ายทานตะวัน”
อรรถตั้งท่าจะสู้แต่เพราะความเมาทำให้โดนธนา ซัดไปอีกหมัดถึงกับล้มลงกองกับพื้น
“นายออกไป แล้วอย่ามายุ่งกับทานตะวันอีก”
“ออกโรงปกป้องชู้รัก!! ผมจะกลับเมืองไทย
แฉความระยำของพวกคุณ” อรรถชี้หน้าทั้งสองคน ส่งสายตาอาฆาตแล้วผลุนผลันออกไป ทานตะวันตกใจเดินหนีเข้าห้อง ธนาก้าวตามมา เธอเหลือบมองเขาแวบเดียว แล้วไม่กล้าสู้หน้า
“น้านาไปเถอะ กลับไปเมืองไทยเถอะค่ะ”
“แล้วตะวันล่ะ”
“ตะวันขออยู่ที่นี่ ตะวันไม่กล้ากลับไปสู้หน้าใครอีกแล้ว”
“น้าปล่อยตะวันไว้คนเดียวไม่ได้...ตั้งแต่น้าเริ่มมีปัญหากับปัทมา น้าตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลาว่า
น้ารู้สึกยังไงกับตะวัน น้าคิดว่าน้าอยากดูแล อยากปกป้อง เพราะเราผูกพันมาด้วยกัน แต่เมื่อตะวันมีนายอรรถเข้ามาในชีวิต น้าเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นตะวันอยู่กับเขา และน้ารู้คำตอบแล้ว...น้ารักตะวัน”
ทานตะวันตกใจระคนด้วยความสุขเมื่อรู้ว่าธนารักเธอ และปนด้วยความเศร้าที่มันสายเกินไป ธนาเช็ดน้ำตาให้เธอแล้วค่อยๆจุมพิตที่หน้าผากและหอมแก้มอย่างทะนุถนอม
ooooooo