100 เมตรสุดท้าย เข้าทางตรงเร่งสปีดเข้าเส้นชัย เริ่มประเดิมเข้าคูหากาบัตรกันแล้ว ตามปฏิทิน 7 พฤษภาคม 2566 ก็คือกำหนดเลือกตั้งล่วงหน้า สำหรับประชาชนชาวไทยมากกว่า 2 ล้านคน ที่ลงทะเบียนใช้สิทธิก่อนกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป 14 พฤษภาคม

และโดยกฎกติกาเลือกตั้งล่วงหน้าก็เหมือนวันเลือกใหญ่ โดยเฉพาะห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และห้ามทุกพฤติการณ์เสี่ยงผิดกฎหมายเลือกตั้ง ทั้งประชาชนผู้ใช้สิทธิและผู้สมัคร ส.ส.ต้องพึงระวังให้ดี

ในขณะที่กิจกรรมการหาเสียงยังดำเนินต่อเนื่องไปในบรรยากาศเข้าด้ายเข้าเข็ม ห้วง “7วันอันตราย” เร้าไปกับโพลสารพัดยี่ห้อที่แข่งกันเปิดผลสำรวจคะแนนนิยม ทำนายผลเลือกตั้งล่วงหน้า

โพลแท้ โพลเทียม สำนักมาตรฐาน มือปืนรับจ้างแห่ ห้วง 7 วันนับแต่นี้ไปจนถึงเวลาหลังปิดหีบเลือกตั้ง 17.00 น.วันที่ 14 พฤษภาคม ถือว่าเข้าโซนกฎเหล็ก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ห้ามเผยแพร่ผลสำรวจคะแนนนิยมที่จะส่งผลต่อการได้เปรียบเสียเปรียบ

เว้นแต่การทำโพลเป็นการภายใน เอาไว้เช็กแต้มกันเอง

ณ จุดที่ “เต็งหนึ่ง” กับ “เต็งสอง” เหลือลุ้นกันอยู่แค่ 2 ยี่ห้อ คือ พรรคเพื่อไทย กับค่ายก้าวไกล

...

ตามตัวเลขสำนักมาตรฐานอย่าง “นิด้าโพล” เปิดผลสำรวจรอบสาม “หนุ่มทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ทะยานขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง แคนดิเดตที่ประชาชนอยากได้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด เบียด “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัว เพื่อไทย หล่นจากแชมป์ไปอยู่ลำดับ 2

พลิกจากสองรอบแรกที่ลูกสาวคนเล็ก “นายห้างดูไบ” นำมาตลอด

อย่างไรก็ตามในส่วนของคะแนนนิยม ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทยยังครองความนิยมเหนือกว่าคู่แข่ง โดยมีพรรคก้าวไกลไล่บี้หายใจรดต้นคอ

โดยรูปการณ์ชิงแต้มกันเองในฝั่งโหนประชาธิปไตย ส่งผลสะเทือนต่อยุทธศาสตร์ “แลนด์สไลด์” เต็มๆ

เกมบีบจนทีม “นายห้างดูไบ” นั่งกันไม่ติด

สถานการณ์แบบที่เห็น “อุ๊งอิ๊ง” ขอเวลานอกไปนอนคลอดที่โรงพยาบาลได้ไม่กี่วัน ก็ต้องอุ้มกระเตงลูกชายในตู้อบ แถลงข่าวโชว์ความฟิต ประกาศพร้อมกลับมาขึ้นเวทีปราศรัยและประชันรายการดีเบต

เซตเครื่องด่วน รีบกลับมาพลิกเกมชิงแต้มโค้งสุดท้าย

พร้อมกับทิ้ง “ไพ่ตาย” ประกาศไม่ร่วมตั้งรัฐบาลกับทหารเฒ่า ทั้ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม แคนดิเดตนายกฯ ค่ายรวมไทยสร้างชาติ และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯพลังประชารัฐ

แสดงความรังเกียจชัดเจน ไม่เอาด้วยกับลุงๆ 2 ป.

ตามรูปเกมมันก็ชัด “อุ๊งอิ๊ง” ต้องรีบแก้ลำ จากการที่โดน “พิธา” เบียดแซงหน้า และพรรคก้าวไกลแรงขึ้นมาเบียดพรรคเพื่อไทย เพราะความชัดเจนในการปิดสวิตช์ทหารเฒ่า 3 ป.

ล้อไปกับจังหวะที่ “เสี่ยนิด” นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย ที่ประกาศเสียงดังฟังชัดไม่ร่วมรัฐบาลกับ “บิ๊กตู่–บิ๊กป้อม” และยังเหมารวมไปถึงการ “หักดิบ” ยืนยันชัดบนเวทีปราศรัยที่จังหวัดบุรีรัมย์ ไม่เอาด้วยกับนโยบายกัญชาเสรีของค่ายภูมิใจไทย

หันหลังให้ 2 น.ทั้ง “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล และ “เสี่ยเน” เนวิน ชิดชอบ หัวขบวนทีมเซราะกราวไฟต์บังคับเล่นบทกร้าว “อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา” เดินหน้าโหมดเปิดก๊อกสุดท้าย ควบคู่ไปกับยุทธศาสตร์ “นายห้างดูไบ” โหมตีปี๊บให้ผู้สนับสนุนเลือกพรรคเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์เท่านั้น ไม่ต้องแบ่งให้ใคร

ไม่เช่นนั้นจะพลิกขั้วชิงอำนาจตั้งรัฐบาลลำบาก

ในสถานการณ์ยากๆแบบที่นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็ชิงเปิดยุทธศาสตร์ “เรือล่มในหนอง” รณรงค์ให้ประชาชนไม่ลังเลเลือกพรรคก้าวไกล คะแนนอยู่ในฝ่ายประชาธิปไตย ทิ้งขาดทหารเฒ่า

แก้เหลี่ยมทีม “นายใหญ่” ชิ่ง “ยิงโดด” โกยเดี่ยว

เกมการตลาดของเด็กรุ่นใหม่ก็เขี้ยวทันเซียนการตลาดรุ่นเก๋า ในอารมณ์กองทัพสีส้มกำลังคึกจัดกับ “หัวคะแนนธรรมชาติ” ที่เบ่งบานไปทุกหัวเมือง

ตามท้องเรื่องมาถึงจุดที่นายพิธาประกาศเสียงดังฟังชัด พร้อมนั่งแท่นนายกรัฐมนตรี เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกล เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเปลี่ยนแปลง

มั่นใจแต้มโพลจะแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนดิบของจริง

“เต็งหนึ่ง” กับ “เต็งสอง” เบียดตัดแต้มกันเองในฝ่ายประชาธิปไตย ปิดทาง “แลนด์สไลด์” สะดุด

และนั่นก็เป็นการจุดกระแสความหวังของ “เต็งสาม” ที่ไล่ตามดมฝุ่นมาห่างๆ แชมป์เก่าอย่าง “บิ๊กตู่” แคนดิเดตนายกฯค่ายรวมไทยสร้างชาติ

แทนที่จะได้อาศัยทีมหามแห่ กลับต้องมาแบกขบวนแห่หลังแอ่น

ตามแผน “บูม เบบี้บูมเมอร์” ปลุกกระแสกองเชียร์ “ฟันปลอม” สู้พลัง “ฟันน้ำนม” อารมณ์อย่างที่เกณฑ์กองทัพเสื้อเหลืองมาฟังปราศรัยใหญ่ที่จังหวัดชลบุรี หรือแม้แต่การได้กองทัพธรรมของสำนัก “สันติอโศก” เป็นเชียร์ลีดเดอร์ ร้องเพลงหาเสียง “ลุงตู่ ลุงตู่อยู่ไหน” กันกระหึ่ม

“ทีเด็ด” ของ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ที่คะแนนนิยมจากต้นทุนหน้าตักส่วนตัว ล็อกแต้มชัวร์ในปักษ์ใต้หลายจังหวัด บวกกับกระแสความนิยมในกลุ่มผู้สูงวัยหนาแน่นพอตัว

ประกันแต้มขั้นต่ำ 25 เก้าอี้ เสนอบัญชีนายกฯ รทสช.ได้แน่

และนั่นก็ยังต้องบี้กับคนกันเอง วัดกันในหมู่พี่ๆน้องๆ ตามยุทธศาสตร์ของ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” ที่พร้อม “น็อกมืด” กินรอบวง

ประกาศพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี แกนนำจัดรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ

มั่นใจกับแต้ม “บ้านใหญ่” ที่ลงเสาเข็มแน่นในหลายจังหวัด นำทีมแถลงโชว์ความพร้อม “ทีมเศรษฐกิจ” ที่อัดแน่นมือบริหารอาชีพ นำโดยนายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พลังงาน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีต รมว.พาณิชย์ ฯลฯ

เปิดแผนบริหารได้ทันทีที่เป็นรัฐบาล นโยบายที่หาเสียงไว้ทำได้แน่

“บิ๊กป้อม” ไม่อิงกระแสโพลปั่นราคา แต่อาศัยขาย “ของเก่า” ที่เคยผ่านการ “ใช้งานได้จริง” กับยุทธศาสตร์ก้าวข้ามความขัดแย้ง พร้อม “ตื๊อ” จับมือ ได้ทุกป้อมค่าย ไม่เลือกขั้ว

เหลี่ยมเก๋า “บิ๊กบราเธอร์” ทำ พปชร.เบาตัวโจทย์การบ้านง่ายกว่า

เมื่อเทียบกับค่ายประชาธิปัตย์ ที่ต้องส่งซิกผ่าน “มาดามเดียร์” วทันยา บุนนาค ประกาศชัดไม่โหวตให้ “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯรอบต่อไป เป็น “ไม้ตาย” ทีม “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าค่าย ปชป.ที่ตกอยู่ในสถานะถอยร่น กทม.ส่อสูญพันธุ์ซ้ำ ที่มั่นสุดท้ายปักษ์ใต้ โดน “บิ๊กตู่” และทีมรวมไทยสร้างชาติเจาะจนพรุน

อาการแบบที่ปรมาจารย์ “ชวน หลีกภัย” ออกตัวแต่หัววัน ประจานภาคใต้ซื้อเสียงกันมโหฬาร

เดิมพันประชาธิปัตย์ยื้อแต้มให้เท่าเดิมยังหืดขึ้นคอ ไม่ต้องพูดถึงเป้าหมายฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ที่ปิดทางตัวเองไม่ร่วมงานกับระบอบ “ทักษิณ” แล้วยังประกาศไม่หนุน “บิ๊กตู่” แทบไม่เหลือประตูเดินเลย

สถานการณ์โลกกว้างแต่ทางแคบ คล้ายกับ “เสี่ยหนู” และทีมเซราะกราว ภูมิใจไทย ที่กำลังยืนงงใน “ดงกัญชา” จากที่โดนอิทธิฤทธิ์ “ตัวตึง” อย่างนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จอมแฉแห่งชาติ ไล่บี้ไล่ถล่มนโยบาย “กัญชาเสรี” ยังมาโดนนายเศรษฐา สำทับกับ “อุ๊งอิ๊ง” ไม่เอาด้วยกับ “หนู-เน สายควัน”

เปิดฉากฟัดกันถึงขั้นฟ้องร้องลากขึ้นโรงขึ้นศาล กระเทือนสายสัมพันธ์ทีมเซราะกราวกับเพื่อไทย

จากสถานะ “ตัวแปร” สอดแทรก ลุ้นเสียบเก้าอี้นายกฯ “เสี่ยหนู” ต้องลดเพดานบิน โดนหักไม้ตาย เหลือแค่อ้อนชาวบ้านให้เลือกพรรคภูมิใจไทย จะได้นโยบายสมนาคุณชัวร์กว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง

แต่ที่ยังคงสถานะ “อะไหล่ชั้นดี” ก็คือยี่ห้อ “ชาติไทยพัฒนา” ตามขนาดกำลังพอดีของ “เสี่ยท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ที่เข้าได้กับทุกขั้ว แค่ประคองตัว รักษาแต้มให้เท่าทุนหรือมากกว่าเดิม

เชื่อขนมกินได้ ยังไงก็ได้ร่วมรัฐบาลแน่นอน

ที่เหลือก็ลุ้นเหนื่อยหืดขึ้นคอ ทั้งยี่ห้อเก่าอย่างพรรคเสรีรวมไทยของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส พรรคประชาชาติ ของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หรือยี่ห้อใหม่ป้ายแดงอย่างไทยสร้างไทยของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคชาติพัฒนากล้าของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ-กรณ์ จาติกวณิช”

แค่ฝ่ากระแสแลนด์สไลด์ มีแต้ม “ติดปลายนวม” ก็เก่งแล้ว

แนวโน้ม 100 เมตรสุดท้าย ห้วง “7 วันอันตราย” แต่ละป้อมค่ายต่างทิ้ง “ไพ่ตาย” ชิงแต้ม เร่งสุดฝีตีน ลุ้นเข้าเส้นชัยไว้ก่อน โดยไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่มีเพื่อน มีแต่ศัตรูคู่แข่งในสนาม

ไฟต์บังคับ ต้องเอาตัวรอดด้วยกันทั้งนั้น

แต่ต้องเข้าใจตรงกัน ตามฟอร์มการเมืองแบบไทยๆ ไอ้ที่พูดหรือประกาศอะไรไว้ก่อนเลือกตั้ง กับพฤติการณ์หลังเลือกตั้ง มันเป็นคนละเรื่อง หน้ามือกับหลังมือ

“สัตยาบัน” ยังฉีกได้ นับประสาอะไรลิ้นไม่มีกระดูก.

“ทีมการเมือง”