“เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” ตั้งใจอยากเป็นผู้ว่าฯ กทม. ตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว ยืนยันเรื่องน้ำท่วมใน กทม.แก้ได้ แต่ต้องทำเดี๋ยวนี้ ขอเป็นผู้ว่าฯ ที่วางรากฐานให้ลูกหลานในอนาคต ลบวาทกรรม “น้ำท่วมรอระบาย” เริ่มต้นแก้เรื่องน้ำทะเลหนุน ลั่นจะสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งโอกาส สู้กับเมืองอื่นได้ อย่างน้อยในอาเซียน ชี้ตัดสินใจถูกแล้วเลือกสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อคนกรุงมีวิจารณญาณแยกแยะเรื่องดราม่า
ถ้าพูดว่า “สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก แต่ถ้าเรียกว่า “พี่เอ้” หลายคนอาจจะร้องอ๋อขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย เพราะอาจจะคุ้นๆ และได้ยินชื่อนี้ มาตามหน้าสื่อและในโลกโซเชียลออนไลน์ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในฐานะอธิการบดีรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง
การดำรงตำแหน่งอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังของ ดร.สุชัชวีร์ สร้างความฮือฮาไม่น้อย แถมแปลกแหวกแนวกว่าอธิการบดีสถาบันอื่นๆ ตั้งแต่เนียนปลอมตัวไปเป็นรุ่นน้องปีหนึ่ง เป็นแร็ปเปอร์โชว์ร้องเพลงบนเวทีปฐมนิเทศ และเป็นวาทยากร ผู้ควบคุมวงดนตรี ในงานพิธีรับปริญญาของสถาบัน ทำให้เป็นอธิการบดีที่มีภาพลักษณ์เข้าถึงนักศึกษา จับต้องและสัมผัสได้ง่าย
...
บทบาทและตำแหน่งหน้าที่การงานในแวดวงทางการศึกษาถือว่าไปได้สวย เมื่อเทียบกับอายุที่ก็ถือว่ายังน้อยกับตำแหน่งของการเป็นอธิการบดี ทำให้ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐออนไลน์สงสัยว่า เหตุใด “พี่เอ้ ลาดกระบัง” จึงตัดสินใจลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และทำไมต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์?
ทำไมถึงตัดสินใจลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.?
นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ ว่า มีความตั้งใจในการเป็นผู้ว่าฯ กทม.ตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว โดยในตอนนั้น ยังเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 ได้ทำโปรเจกต์เรื่องวิธีการออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน แล้วก็ไปมอบให้ ร้อยเอก กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา ผู้ว่าฯ กทม.ในขณะนั้น ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร จึงรู้สึกว่าสิ่งที่เรียนมาถูกต้องแล้ว เพราะสามารถมาเปลี่ยนกรุงเทพฯ ได้ แต่ตอนนั้นได้แต่เก็บไว้ในใจ ไม่ได้บอกใคร จากนั้นก็ไปเรียนหนังสือจนจบ และไปเรียนต่อปริญญาเอก ที่ต่างประเทศ ซึ่งก็ยังเลือกเรียนในสาขาที่มันเกี่ยวกับปัญหากรุงเทพฯ เช่น น้ำท่วม รถติดอยู่ พอกลับมาก็มาเป็นนักบริหาร ก็ยังมีความสนใจอยู่
ส่วนสาเหตุที่เลือกสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการคิดอย่างละเอียดแล้ว เพราะมองว่า โครงสร้างของผู้ว่าฯ กทม. ในระบบประชาธิปไตยแบบไทยยังต้องมีทีมคอยสนับสนุน เหมือนกับ นายกรัฐมนตรี ที่ต้องมี ส.ส. สนับสนุน และต้องทำงานด้วยกัน ดังนั้น จึงมองว่าการที่จะเป็น ผู้ว่าฯ กทม.ให้สำเร็จ ต้องกลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกก่อน คือ ต้องมาเป็นทีม นั่นหมายความว่าจำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง
โดยสาเหตุที่ตัดสินใจเลือกพรรคนี้มีด้วยกัน 3 ข้อ คือข้อแรก เห็นในพลังการเปลี่ยนแปลงของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงที่ผ่านมาและช่วงนี้ชัดเจน 2.พรรคประชาธิปัตย์ ให้โอกาสคนรุ่นใหม่ คนหน้าใหม่อย่างตนเอง ทั้งที่ไม่เคยทำงานทางด้านการเมืองมาก่อน เป็นนักบริหารมืออาชีพ และ 3.ต้องเริ่มไปพร้อมกัน เพราะประกาศไว้ว่าให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองสวัสดิการต้นแบบของอาเซียน ดังนั้น สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ทั้ง 50 เขต ของพรรคต้องทำงานไปด้วยกัน
ขณะที่กระแสข่าวก่อนหน้านี้ ว่าพรรคประชาธิปัตย์ชวนไปลง ส.ส. แต่เพราะสนใจงานด้านผู้ว่าฯ กทม.เลยปฏิเสธไปนั้น นายสุชัชวีร์ก็ยืนยันว่าไม่มี และไม่มีพรรคไหนชวนลง ส.ส.ด้วย
ขอเป็นผู้ว่าฯ ที่มาวางรากฐานเพื่อส่งต่อ ไม่ใช่มาฉาบฉวยปะผุ
แล้วนโยบายมัดใจ ที่จะใช้หาเสียงในครั้งนี้คืออะไร นายสุชัชวีร์ ระบุว่า แน่นอนว่ายังเป็น “เปลี่ยนกรุงเทพฯ เราทำได้” เพราะมาพร้อมกับความหวัง เพื่อส่งสัญญาณแรงๆ ถึงคนกรุงเทพฯ ว่า ไม่ใช่มาเพื่อแก้ปัญหาซ้ำซากอย่างเดียว แต่ขอเป็นผู้ว่าฯ ที่จะวางรากฐานกรุงเทพฯ เพื่อส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคต คือต้องส่งต่องานให้กับผู้ว่าฯ ได้อีก 20 ปี จึงไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำงานฉาบฉวย หรือมาปะผุเฉพาะหน้าเท่านั้น โดยแบ่งออกมา 2 ด้าน คือ เปลี่ยนชีวิตคนกรุงเทพฯ และเปลี่ยนเมือง เพราะคนกับเมืองอยู่ด้วยกัน การเปลี่ยนชีวิตคนกรุงเทพฯ คือต้องดูแลตั้งแต่ลูกหลานของเขา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันคนกรุงเทพฯ ลำบาก เด็กไปโรงเรียนตอนเช้ายังกินไม่อิ่ม เพราะต้องรีบไปโรงเรียน จึงอยากจะมาดูแลเรื่องโภชนาการด้านอาหาร ส่วนพ่อแม่ของเขาก็ต้องดูแลให้ดี ต้องมีศูนย์ด้านการแพทย์ใกล้บ้าน นอกจากนี้ยังตั้งใจจะทำให้การบริการทางอินเทอร์เน็ตฟรีเป็นบริการสวัสดิการขั้นพื้นฐานของคน กทม.
ขณะที่การแก้ปัญหาน้ำท่วม มองว่าเป็นเรื่องปัญหาทางด้านเทคนิค ตนเองเรียนและทำงานมาด้านนี้ ยืนยันว่าสามารถแก้ปัญหาให้ กทม. ได้ แต่ต้องทำเดี๋ยวนี้ อันดับแรกระยะสั้น ปั๊มน้ำกับประตูระบายน้ำ ถือว่าทำให้ กทม.มีปัญหา หากได้เป็นผู้ว่าฯ จะได้รับการดูแลสังคายนาใหม่ทั้งหมด และขอให้วาทกรรม “น้ำรอระบาย” จบไปสักที โดยจะนำน้ำมาเก็บไว้ใต้ดินหากอยู่ในเมือง ส่วนชานเมืองจะเชื่อมโยงตามแก้มลิงกับแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อให้น้ำมีพักรอระบายที่แท้จริง
แต่ระยะที่ 3 ถือเป็นจุดเปลี่ยนจุดตายของกรุงเทพฯ เรื่องน้ำทะเลหนุน เรื่องจริง รวมถึงกรุงเทพฯ ทรุดและจะจมน้ำในอีก 10 ปี ก็เป็นเรื่องจริง โดยตนเองจะเป็นผู้ว่าฯ กทม. ที่เริ่มต้นเรื่องนี้สักที เพราะถ้าไม่เริ่ม ปล่อยให้เป็นผู้ว่าฯ คนอื่น วันนั้นคำขอโทษก็ใช้ไม่พอ
“จะมาเป็น ผู้ว่าฯ กทม. นาทีนี้ต้องเป็นทั้งพ่อบ้าน และนายช่างใหญ่ คนเป็นพ่อบ้านนะ ลูกก็ต้องดูแลให้ดี พ่อแม่ก็ต้องดูแลให้ดี รุ่นเราก็ต้องดูแลให้ดี ผมต้องวางรากฐานกรุงเทพฯ วันนี้ เพื่อวันหนึ่งซึ่งเขาจากวัยรุ่น เขาอายุเท่าผม เขาจะมีกรุงเทพฯ ที่มันเปลี่ยนไปมันดีกว่านี้ จะได้ไม่ต้องมาแก้ปัญหาซ้ำซากเหมือนเดิม เขาจะอยู่ในเมืองที่ให้โอกาสเขามากขึ้น
เพราะฉะนั้น ตรงนี้ผมบอกเลย ผมไม่ได้เป็นตัวแทนรุ่นใดรุ่นหนึ่ง และด้วยช่วงชีวิตและวัยของผม ผมเป็นตัวแทนของคนทุกรุ่น และขอเป็นตัวแทนลูกๆ ทุกคน ซึ่งวันนึงกรุงเทพฯ จะต้องไม่จมน้ำ วันนึงกรุงเทพฯ ต้องเป็นเมืองแห่งโอกาส เป็นเมืองที่มีหน้ามีตา มีศักดิ์ศรีสู้กับเมืองอื่นได้ อย่างน้อยก็ในอาเซียน” นายสุชัชวีร์ กล่าว
นายสุชัชชีร์ ยังเล่าถึงนโยบายเรื่องการจราจรให้ทีมข่าวฟังด้วยว่า ต้องให้ กทม. มาจัดการดูแลแบบเบ็ดเสร็จเหมือนในต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดการโยนกันไปมาระหว่างหน่วยงาน พร้อมมองว่าระบบการจราจรอัตโนมัติเป็นไปได้ โดยใช้เวลาไม่ถึง 4 ปี ก็สามารถทำให้การจราจรมีความปลอดภัยและแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้หากตนเองมีโอกาสเป็นผู้ว่าฯ จะได้เห็นทางจักรยานลอยฟ้า เริ่มต้นสายแรกตามแนวรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ จากพญาไท ไปลงแถวหัวหมาก รามคำแหง เพราะหากจักรยานอยู่ระนาบเดียวกับรถ ยังไงก็อันตราย และสุดท้ายจะขอประกาศสงครามกับ PM 2.5 ให้รู้กันไปสักที
จะลบภาพลักษณ์ ผู้ว่าฯ กทม.เรื่องไม่มีอำนาจได้อย่างไร
ส่วนหนึ่งถูกต้อง แต่คนเป็นผู้ว่าฯ กทม.ตอบแบบนี้ไม่ได้ นายสุชัชวีร์ อธิบายเพิ่มเติมว่า เพราะคนเป็นผู้ว่าฯ กทม.ต้องเป็นมือประสาน 10 ทิศ ลุยกับปัญหา แต่อย่าทะเลาะกับคนอื่น เพราะคนที่เดือดร้อนคือคนกรุง
“ผมจะเป็น ผู้ว่าฯ กทม.ที่ประสานได้ในทุกหน่วยงาน และอย่าลืมนะครับถึงแม้ว่าไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ แต่อำนาจในฐานะการประสาน และเราเป็นเจ้าของพื้นที่มันมีอำนาจในการแก้ปัญหาอยู่แล้ว” นายสุชัชวีร์ กล่าว
หากได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. เรื่องแรกที่อยากทำคืออะไร
นายสุชัชวีร์ ตอบเราทันทีว่า คือ เรื่องน้ำ เพราะการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม จึงอยากจะมาแก้ปัญหาน้ำท่วมให้ก่อนที่ฝนจะมา โดยก่อนจะทำ สิ่งแรกต้องเปิดใจกับบุคลากร กทม.ก่อนว่าเรามาช่วยกัน เราคือครอบครัวเดียวกัน โดยตนเองจะคืนศักดิ์ศรีให้กับเจ้าหน้าที่ กทม. ที่เป็นจำเลยสังคมอยู่ตลอด และช่วงฤดูฝนน้ำมา จะทำให้รู้เลยว่ามันดีกว่าปีที่แล้วให้ได้
ลงผู้ว่าฯ ครั้งนี้ เพื่อมากู้ฐานเสียงพื้นที่ กทม.ให้พรรคประชาธิปัตย์หรือไม่?
นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. แตกต่างจากการเมืองใหญ่ ที่เหมือนเลือกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาเป็นผู้นำ ที่มาแก้ปัญหาให้คนกรุงโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นบทบาทของ ผู้ว่าฯ กทม.มันจะไม่ใช่เรื่องการเมืองอย่างเดียว แต่มันจะเป็นบทบาทของนักพัฒนาเมือง นักบริหารเมืองมากกว่า มันอาจจะไปโยงซะทีเดียวไม่ได้ แล้วชัยชนะของ ผู้ว่าฯ กทม.อาจจะเกี่ยวมากหรือน้อยนั้น มันขึ้นอยู่กับกระแสของการเมืองโดยรวมในวันนั้น ในวันเลือกตั้งใหญ่
ส่วนผลโพลและสถิติที่ผ่านมาที่พรรคประชาธิปัตย์มักได้เก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. เรื่องนี้ก็มองว่า ทำให้ตนเองต้องขยันและต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนรู้จักมากขึ้น โดยยอมรับว่าตนเองเสียเปรียบเรื่องผลโพล เพราะพึ่งมาเปิดตัวได้แค่เดือนกว่า เพราะคนอื่นเปิดตัวมานาน ชาวบ้านรู้จักมากกว่า จึงจำเป็นต้องลงพื้นที่ อธิบายตนเองให้มากขึ้น
เชื่อมั่นคน กทม. แยกแยะเรื่องดราม่าออก ยันแจงได้ทุกเรื่อง
หลังเปิดตัวโดนกระแสดราม่าหนักหน่วง ทั้งเรื่องศิษย์ไอน์สไตน์ และเรื่องการถูกตรวจสอบทรัพย์สิน จะกู้ภาพลักษณ์กลับมาอย่างไร นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า การเล่าเรื่องลูกศิษย์ไอน์สไตน์ ไม่ได้รู้สึกอาย เพราะเป็นสิ่งที่นำมาเล่าเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ๆ และอาจารย์ก็นามสกุลนั้นจริงๆ สิ่งที่พูดก็เป็นสิ่งที่ศรัทธาในเรื่องนั้น จึงมีความเชื่อมั่นในคน กทม. ว่าสามารถแยกแยะเรื่องดราม่าต่างๆ ได้ และเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจในประเด็นนี้ เช่นเดียวกับเรื่องทรัพย์สิน เพราะได้ใช้ชีวิตที่เปิดเผย โปร่งใส ฉะนั้นทุกอย่างสามารถอธิบายได้ และที่ผ่านมาทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จึงกล้ามาอยู่ตรงนี้ จึงอยากขอกำลังใจจากคนไทยด้วย
“ผมเป็นน้องใหม่ทางการเมืองนะครับ เข้ามาก็เจอรับน้องเยอะเลย เรื่องประเด็นดราม่าต่างๆ ผมตอบอย่างชัดเจน การที่ผมมีโอกาสไปเรียนในมหาวิทยาลัยสุดยอดของโลก มาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ไอสไตน์จริงๆ นามสกุลไอน์สไตน์เนี่ย เป็นความภาคภูมิใจนะครับ ศรัทธาอาจารย์ของผม เพราะฉะนั้นแล้วผมไม่อาย เช่นเดียวกันประเด็นเรื่องที่ออกมา เรื่องทรัพย์สินอะไรต่างๆ ผมชี้แจงได้ทุกอย่างเลยนะครับ แล้วก็มีความมั่นใจ แล้วที่สำคัญมีความเชื่อมั่นนะครับในวิจารณญาณของคนกรุงเทพฯ และของคนไทยทุกคนจริงๆ” นายสุชัชวีร์ กล่าว
กังวลกับกระแสของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่
นายสุชัชวีร์ เปิดใจกับเราว่า ทราบว่าหลายๆ คน เชียร์ตนเอง รักตนเองแต่อาจจะงอนพรรคที่สังกัด คือพรรคประชาธิปัตย์ แต่พรรคประชาธิปัตย์ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ไม่ใช่แค่พรรคสร้างคน แต่คนยังสร้างพรรคด้วย เหมือนกับองค์กรมีขึ้นมีลงมีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่อยากให้ใครทิ้งพรรค อยากจะขอให้โอกาส เหมือนที่พรรคให้โอกาสตนเอง เพราะเรื่องในอดีตเป็นอย่างไรเราย้อนมันกลับมาไม่ได้ ทุกอย่างในโลกมีทั้งบวกและลบ ดังนั้นจะเอาแต่บวกไม่ยอมเอาลบเลยหรือไม่ ตนเองอยากจะให้มองจุดดีๆ ของพรรคที่มีคนในพื้นที่มานาน รู้ปัญหาชาวบ้านว่าจะแก้ปัญหาที่แท้จริงให้ได้อย่างไร จึงขอเอาจุดดีเรื่องนี้มาแก้ปัญหาให้คนกรุงเทพฯ ดีกว่า และอยากให้คิดแต่เรื่องบวก บวก บวก
“แต่ถ้าเกิดถามผม อดีตผมทำอะไรไม่ได้ ผมต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วอย่างน้อยที่สุด ผมอยากจะเป็นคนหนึ่งให้ท่านเห็นว่า วันนี้นะครับ พรรคได้มีการเปลี่ยนแปลง พรรคให้โอกาสคนรุ่นใหม่ๆ คนที่มีความกล้าหาญ คนที่จริงจังเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่พูดแต่ต้องทำ และมีประสบการณ์ แล้วกล้ารับผิดชอบออกมาด้วย จะขอโอกาสให้พรรคอีกสักครั้งไม่ได้เหรอครับ” นายสุชัชวีร์ กล่าว
ยังยืนยันตัดสินใจถูก ลงผู้ว่าฯในนามพรรค
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะลงในนามอิสระหรือสังกัดพรรค นายสุชัชวีร์ กล่าวยืนยันว่าที่มาวันนี้ ตัดสินใจถูกต้องทุกประการ ส่วนอนาคตทางการเมืองหลังจากนี้ ถ้าไม่ได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ยังไม่คิดถึงผลหลังเลือกตั้งว่าจะเป็นอย่างไร แต่ทุกวันนี้เวลาลงพื้นที่ได้จินตนาการไปแล้วว่าคือ ผู้ว่าฯ กทม. ที่ชื่อ “สุชัชวีร์” เนื่องจากต้องไปใช้เวลา ไปดูปัญหาที่แท้จริง เพื่อคิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรได้ 1 2 3 4 เพราะทุกวันนี้ หากยังคิดว่าเป็นผู้สมัครก็จะไปสวัสดี แจกบัตร เพราะฉะนั้นจึงไม่คิดเลยต่อจากนี้จะเป็นยังไง วันนี้ขอได้ทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด มั่นใจว่าการทำหน้าที่ที่ดี ที่ซื่อสัตย์สุจริต ทำให้สุดความสามารถ สุดท้ายไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายๆ ใดๆ เราจะสามารถทำสิ่งดีๆ ได้ต่อเนื่อง
“เขาบอกความสำเร็จของผู้นำให้คิดไว้ 3 ข้อเท่านั้นข้อที่ 1 คือโฟกัส ข้อที่ 2 คือโฟกัส และข้อที่ 3 คือโฟกัส นั่นคือสิ่งที่ผมเป็นครับ” นายสุชัชวีร์ กล่าว.
ผู้เขียน : Supattra.l
กราฟิก : Chonticha Pinijrob