อากาศเมืองไทยร้อนขึ้นทุกวัน ไม่ใช่เฉพาะเดือนเมษาฯ บางวันร้อนอบอ้าว จนเหงื่อท่วมตัวผิวแสบเมื่อออกไปกลางแดด ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ใน 10 ปีข้างหน้า สภาพอากาศจะร้อนระอุ ปรอทแตกมากเพียงใด? เพราะแค่ปี 2562 ยังร้อนตับแตก แล้วอนาคตในปี 2572 จะอยู่กันอย่างไร ท่ามกลางสภาพอากาศแปรปรวนของโลก
เพราะล่าสุดเมื่อ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ประเทศคูเวตเผชิญวันที่ร้อนที่สุดในโลก ด้วยอุณหภูมิสูงสุด 52.2 องศาเซลเซียสขณะอยู่ในที่ร่ม แต่หากยืนกลางแดดจะรู้สึกร้อนเหมือน 63 องศาเซลเซียส หากเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 มิ.ย.นี้ คาดกันว่าเดือนก.ค.อุณหภูมิจะสูงสุดมากถึง 68 องศาเซลเซียส ขณะที่เมืองอัล มาจมาห์ ของซาอุดีอาระเบีย มีอุณหภูมิตอนเที่ยงวัน เมื่อ 8 มิ.ย. สูงถึง 55 องศาเซลเซียส
ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยา ได้แบ่งเกณฑ์อากาศร้อนตามอุณหภูมิสูงสุด โดยอุณหภูมิสูงสุดช่วงระหว่าง 35 องศาเซลเซียส จนถึง 39.9 องศาเซลเซียส เรียกว่า “อากาศร้อน” ส่วนอุณหภูมิสูงสุด ตั้งแต่ 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป เรียกว่า “อากาศร้อนจัด” และฤดูร้อนเมื่อ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา พบว่า จ.เลย ร้อนที่สุดในไทย อุณหภูมิสูงสุด 43.4 องศาเซลเซียส และติดอันดับ 5 เมืองร้อนสุดของโลกในวันนั้น
...
“ภาวะโลกร้อน” จึงเป็นสิ่งน่ากลัวต่อมวลมนุษยชาติ เพราะโลกกำลังร้อนยิ่งขึ้น พร้อมกับคำเตือนจาก "รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์" ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” ว่า อากาศแปรปรวนเป็นภัยพิบัติอันดับ 1 ของโลก ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาไทยไม่ค่อยสนใจ โดยรัฐบาลมีนโยบายไม่จริงจังในการรับมือ ดังนั้นใน 10 ปีข้างหน้า คนไทยต้องปรับตัวรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากในแต่ละปีจะเจอทั้งน้ำท่วมหนัก ร้อนจัดและภัยแล้ง จึงขอให้ทุกคนระวังนับตั้งแต่วันนี้
จากการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศของโลกในระยะสั้น 20 ปีข้างหน้า อุณหภูมิจะสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.5 องศาเซลเซียส โดยภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสานของไทย ยกเว้นภาคใต้ อุณหภูมิในแต่ละปีจะสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส ส่วนใน 50 ปีข้างหน้า อุณหภูมิจะสูงขึ้นสูงสุด 4 องศาเซลเซียส เช่น จ.เชียงราย น่าน และหลายๆ จังหวัดในภาคอีสานใต้
“หากขณะนี้อุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่านี้ ถือว่าซีเรียสมาก ทำให้พืชล้มตายได้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ในการใช้ชีวิต และหากนับจากนี้ 10 ปีข้างหน้า อุณหภูมิจะสูงขึ้นเฉลี่ย 0.5-1 องศาเซลเซียส ยังไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่หากอนาคต 20-50 ปีข้างหน้า จะเห็นชัดขึ้น อุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่า 1 องศาเซลเซียส มาเป็น 2-3 องศาเซลเซียส จะตามมาด้วยความแปรปรวนของสภาพอากาศ เพราะเมื่อดูข้อมูลย้อนหลังทุกๆ 10 ปี ยกตัวอย่างกทม. ปริมาณฝนตกเกิน 100 มม. มีมากขึ้น และจะสุดขั้วสูงขึ้นในอนาคต อาจจะมากกว่า 100 มม.ก็ได้ ซึ่งคาดการณ์ไม่ได้ แต่ฝนจะตกถี่มากขึ้น จากอากาศร้อนมากขึ้น ปัญหาจัดการที่ดิน มีการวางผังเมืองไม่รับกับสภาพพื้นที่”
นอกจากนี้ ได้ออกมาเตือนในอนาคตไทย จะมีฝนมากขึ้นช่วงเดือนพ.ค.-ต.ค. และต่อจากนั้นในช่วงหลังของปีจะแล้งหนัก ถือเป็นภัยคุกคามสำหรับประเทศไทย หากเทียบกับประเทศอื่นๆ แม้จะมีฝนมาก แต่มีการวางแผนเตรียมการรับมือที่ดี ขณะที่ไทยมีการวางแผนในการทำนาอย่างล่อแหลม มีการปลูกพืชไม่เหมาะสมกับพื้นที่ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติ เนื่องจากมีปัญหาการจัดการด้านน้ำ กระทบต่อครัวเรือนและชุมชน จนเกิดมลพิษ โดยภาพรวมทั่วโลกมองไทยให้คะแนนเต็ม 2 จาก 5 คะแนน แสดงว่าไทยไม่มีความมั่นคง
“ไม่เข้าใจว่าทำไมภาครัฐบริหารอยู่ฝ่ายเดียว ฟังข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐเท่านั้น โดยไม่มีส่วนร่วมกับภาคเอกชน เพราะทุกวันนี้อากาศร้อน เกิดภัยแล้งจนขาดแคลนน้ำหนัก และต้องเผชิญกับฝนตกหนัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าฝนจะมาหนักในฤดูฝน ต้องมีการประเมินศักยภาพในการรับมือ ไม่ให้เกิดน้ำท่วมเหมือนปี 54 แต่ทำไม 10 ปี ผ่านไป ก็ยังเจอเหมือนเดิม อย่างฝนตกในกทม.เพียง 1 ชั่วโมง น้ำก็ท่วม ดังนั้นควรต้องประเมินแก้ปัญหาในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ทำให้กทม.เย็นลง เพราะหากร้อนมาก จะยิ่งทำให้มีฝน เนื่องจากกทม.มีพื้นแข็ง ก่อให้เกิดความร้อน ทำให้เกิดไอออกมา เมื่อเจอความเย็น จะทำให้ฝนตกหนัก”
...
ในส่วนต่างจังหวัดต้องมีการประเมินพื้นที่เสี่ยงใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมามีข้อมูลเฉพาะพื้นที่ที่เคยเกิดภัยพิบัติขึ้นเท่านั้น ดังนั้นประเทศไทยมีสิทธิ์เกิดน้ำท่วมได้ตลอดเวลา โดยยังคงท่วมพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาในภาคกลาง และท่วมพื้นที่กทม. เนื่องจากน้ำไหลผ่านกทม. ซึ่งเหตุน้ำท่วมปี 2554 เป็นฝน 6 เดือน ตั้งแต่เดือนพ.ค.-ต.ค. วัดปริมาณฝนได้ 1,400 มม.ในรอบ 50 ปี และเมื่อสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้โอกาสเกิดน้ำท่วมใหญ่เร็วขึ้น จากเดิมเกิดน้ำท่วมใหญ่ทุกๆ 50 ปี กลายเป็นเกิดน้ำท่วมใหญ่ทุกๆ 10 ปี อีกทั้งพื้นที่รับน้ำมีน้อยลง จากการสร้างอาคารมากขึ้น
พร้อมทิ้งท้ายอย่างน่ากลัว อาจเป็นไปได้ที่ 10 ปีข้างหน้า ไทยจะอากาศร้อนใกล้ 50 องศาเซลเซียส ซึ่งทั้งหมดถือเป็นภัยพิบัติที่ 10 ปีข้างหน้าต่อจากนี้ คนไทยจะต้องเผชิญ เพราะฉะนั้นต้องเร่งสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำและปลูกป่า เพื่อรับมือ ขออย่าประมาทเพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นน่ากลัวเหลือเกิน.
...