ประชุม ครม. เลื่อนไป 27 มี.ค. หลีกให้ศึกซักฟอก “นายกฯ อิ๊งค์” สั่งรัฐมนตรีทุกกระทรวงเตรียมพร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจ 24-26 มี.ค.นี้ พร้อมขอบคุณทุกภาคส่วนเอาจริงปราบบุหรี่ไฟฟ้า
วันที่ 18 มีนาคม 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 11 ประจำปี 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในการประชุมว่าการประชุม ครม. ครั้งที่ 12 ในวันอังคารที่ 25 มีนาคม 2568 เลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า การประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า จะเลื่อนออกไปเป็นวันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2568 โดยนายกรัฐมนตรีขอให้รัฐมนตรีทุกท่านเตรียมความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในวันจันทร์ที่ 24 - วันพุธที่ 26 มีนาคม 2568 ให้เตรียมข้อมูลให้พร้อมในทุกมิติของส่วนราชการที่อาจจะมีการอภิปรายไปถึงทุกกระทรวง เพื่อชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการเรื่องการจัดการบุหรี่ไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐบาล โดยเชิญประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้ น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นปัญหาที่กระทบต่อสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กและเยาวชน เน้นย้ำให้จับกุมและลงโทษผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ขาย และหน่วยงานราชการที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างเด็ดขาด ตลอดจนขอให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่นักเรียน เพื่อให้ทราบถึงผลเสียของการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งอาจจะขยายไปสู่การใช้สารเสพติดประเภทอื่นได้

...

ทั้งนี้ พบว่าตลอดระยะเวลากว่า 2 สัปดาห์ หลังจากที่รัฐบาลสั่งการเรื่องปราบบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง ตัวเลขสถิติการปราบปรามอย่างเห็นผลเป็นที่น่าพอใจ มีการดำเนินคดีในช่วงเวลา 15 วัน ถึง 1,078 คดี ผู้ต้องหา 1,104 คน จำนวนของกลาง 900,444 ชิ้น มูลค่าของกลางกว่า 120 ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะไปตรวจและเป็นประธานในการทำลายของกลางภายในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้กำชับให้ทางกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ร่วมกันในทุกมิติเพื่อแก้ไขปัญหา โดย น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม รายงานว่า กระทรวง อว. ได้ออกมาตรการ และกำชับให้ผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา ตระหนักว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากตรวจพบว่าคนใดปล่อยปละละเลย หรือรู้เห็นเป็นใจ หรือยังนำบุหรี่ไฟฟ้ามาใช้ จะถูกดำเนินการทางกฎหมายและทางวินัย เพราะบุคคลเหล่านี้จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชน
“ดิฉันคิดว่าเป็นมาตรการที่ดี ที่ข้าราชการทุกท่านในหน่วยราชการอื่นๆ ต้องนำไปปฏิบัติใช้ เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นการลดปริมาณบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว เพราะหากไม่มีผู้ใช้แล้ว ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายก็จะหมดไปตามลำดับ จึงขอให้กระทรวงต่างๆ นำมาตรการดังกล่าวไปปรับใช้อย่างเหมาะสม” นายกรัฐมนตรีกล่าว

