วันเสาร์สบายๆวันนี้ไปคุยเรื่อง “การแจกเงินหมื่นกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 3”  กันนะครับ คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ  มี นายกฯแพทองธาร ชินวัตร  เป็นประธาน มีมติวันจันทร์ ให้แจกเงินหมื่นรอบ 3 (เฟส 3) แก่วัยรุ่นอายุ 16–20 ปี 2.7 ล้านคน เป็นเงิน 27,000 ล้านบาท ช่วงปลายเดือนมิถุนายนหรือต้นเดือนกรกฎาคม เพื่อประเดิม “เงินดิจิทัล”  ผ่าน Digital Wallet ระบบบล็อกเชน  ซึ่งคาดว่าระบบจะเสร็จในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ถือเป็นการแจกเงินดิจิทัลผ่าน  Digital Wallet เป็นครั้งแรก ซึ่งมีข้อดีคือ สามารถควบคุมการใช้เงินได้ กำหนดกรอบการใช้จ่ายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้

จะเป็นจริงตามที่ บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ  คุยโม้ไว้หรือไม่เดือนกรกฎาคมนี้ก็รู้กัน แต่มีคนวงในบอกว่า อาจเป็นแค่ Digital Wallet ธรรมดา ไม่ใช่ระบบ Blockchain  อย่างที่รัฐบาลคุยโม้เพราะระบบ Blockchain เป็นระบบหลังบ้าน ไม่ใช่ระบบหน้าบ้านสำหรับใช้จ่ายเงิน

ประเด็นที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักก็คือ คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง พร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วย แถลงหลังประชุมว่า เงินหมื่นบาทที่แจกให้วัยรุ่น 16–20 ปี สามารถนำไปจ่ายค่าเทอมได้  เพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว แต่นำไปซื้อเหล้าซื้อบุหรี่ไม่ได้  วันรุ่งขึ้นกลับแถลงใหม่เปลี่ยนนโยบาย 360 องศา เงินหมื่นที่แจกเอาไปจ่ายค่าเทอมไม่ได้  เพราะเป็นค่าบริการ แต่เอาไปซื้อเหล้าซื้อบุหรี่ได้  โดยต้องซื้อผ่าน ร้านค้าขนาดเล็กหรือร้านของชำที่ขายเหล้าขายบุหรี่ แปลความตามที่กระทรวงการคลังแถลงใหม่ “ร้านสะดวกซื้อ” ที่มี มุมขายเหล้าขายบุหรี่  ก็สามารถใช้เงินหมื่นนี้ไปซื้อเหล้าเบียร์บุหรี่จากร้านสะดวกซื้อได้

...

เป็นการ เอื้อบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่อีกเช่นเคยเหมือนเฟส 1เฟส2 ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของคนรากหญ้าและธุรกิจเอสเอ็มอีแต่อย่างใด

โครงการแจกเงินหนึ่งหมื่นบาท พรรคเพื่อไทย หาเสียงคุยโม้ว่า จะสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ 3 ลูก  ทำให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นทันตา แต่แจกเงินหมื่นไปสองรอบแล้ว ใช้เงินภาษีไปเกือบ 200,000 ล้านบาท เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นเสียที  จีดีพีก็ไม่โต ซ้ำร้ายเศรษฐกิจจริงกลับแย่ลงกว่าเดิม การแจกเงิน 27,000 ล้านบาทให้วัยรุ่นอายุ 16–20ปีครั้งนี้ ก็ยังไม่เห็นโอกาสและวี่แววว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตรงไหน คนมองว่าเป็นการ “ตกเขียว”  หวังซื้อเสียงวัยรุ่นล่วงหน้ามากกว่า ถ้ารัฐบาลอยู่ครบเทอม วัยรุ่น 16 ปีวันนี้ก็จะมีอายุ 18 ปีในอีก 2 ปีข้างหน้า มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งพอดี

วันนี้เลยพาไปรู้จักกับ วัยรุ่นอายุ 16–20 ปี ที่ถูกเรียกขานว่า“คนเจน Z” กันเสียหน่อย

สภาพัฒน์ เพิ่งออกรายงานถึง “คนเจน Z ไทย” ว่า 99.1% มีและใช้มือถือสมาร์ทโฟน 99.0% มีการใช้อินเตอร์เน็ต  เพื่อเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดีย และใช้เวลาอยู่กับอินเตอร์เน็ตสูงถึงวันละ 12 ชั่วโมง 8 นาที  แพลตฟอร์มที่ใช้สูงสุด 89% ยูทูบ 88% เฟซบุ๊ก 78%ติ๊กต่อก 73% อินสตาแกรม 48% X การใช้โซเชียลมีเดียก็เพื่อช่วยให้มีตัวตนและได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อคนเจนแซด โดย 53% บอกว่าการใช้โซเชียลมีเดียส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต  และ 58% บอกว่าสร้างแรงกดดันและเปรียบเทียบกับคนอื่น ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนเจน Z ทำให้หลายประเทศต้องออกกฎหมายมาจำกัดการใช้โซเชียลมีเดียของคนวัยรุ่นเพื่อป้องกัน

มีผลสำรวจของยูนิเซฟพบว่า เจน Z กว่า 44% หางานทำได้ยากกว่ายุคพ่อแม่  ทำให้ไม่มั่นใจในฐานะทางการเงินของตัวเอง คนเจน Z จะเลือกใช้จ่ายซื้อสินค้าที่สมเหตุสมผล ทั้งคุณภาพและราคา ชอบซื้อสินค้าประเภท Gadget, Smartphone, Streaming, Games ฯลฯ ดังนั้น เงินแจก 27,000 ล้านบาทก็จะหมดไปกับสินค้าเหล่านี้ และไม่ได้อยู่ในเมืองไทย

ยิ่งเขียนก็ยิ่ง เสียดายเงินภาษี 500,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลเพื่อไทย  เอาไปหว่านแจกสร้างคะแนนนิยม แต่ไม่ได้สร้างเศรษฐกิจคนไทยให้แข็งแรง ซ้ำร้ายกลับจนกว่าเดิม แถมยังต้องจ่ายหนี้ 500,000 ล้านบาท ที่พรรคเพื่อไทยเอาไปแจกอีกด้วย  ยุติธรรมไหม?

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม