นักเรียนนักศึกษาอาชีวะ “ยกพวกตีกันเป็นปัญหามาหลายทศวรรษ” นับวันยิ่งรุนแรงใช้อาวุธมีด ปืนและระเบิด นำมาทำร้ายประหัตประหารสร้างความปวดร้าวใจให้ผู้ปกครองผู้ต้องสูญเสียมาต่อเนื่อง

ทั้งที่เยาวชนเหล่านี้จะต้องเป็นพลังสำคัญต่อ “การสร้างสังคมประเทศชาติในอนาคต” แต่บางคนกลับต้องมาถูกดำเนินคดี “สูญเสียโอกาสทางการศึกษา” หากไม่ถูกจัดการอย่างจริงจังก็อาจกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับในหมู่นักเรียน “เป็นวงจรเกิดขึ้นซ้ำๆ” ทำให้เด็กกลุ่มนี้เติบโตในสังคมที่ยอมรับกับการใช้ความรุนแรงอย่างไม่จบสิ้น

เหตุนี้ “กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 (บก.น.3)” จึงถอดบทเรียนสาเหตุอาชีวะตีกันในพื้นที่มีนบุรีนำมาวิเคราะห์สู่มาตรการป้องกัน “เกิดเป็นมีนบุรีโมเดล เรารักอาชีวะ” อันเป็นโครงการถูกออกแบบมาแก้ปัญหานักเรียนนักศึกษาอาชีวะยกพวกตีกันโดย พ.ต.อ.โฆษิต บุญทวี รอง ผบก.น.3 ผู้ริเริ่มโครงการนี้เล่าให้ฟังว่า

ในห้วงหลายปีมานี้ “เขต บก.น.3 ต้องเจอปัญหาอาชีวะตีกันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ” โดยมีกลุ่มเด็กวิทยาลัยอาชีวะสำคัญอยู่ 3-4 แห่ง ที่มีความขัดแย้งทางความคิดถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นพี่เรียนไม่จบมาสู่รุ่นน้อง “ลักษณะปลูกฝังค่านิยมในทางผิดๆ” ไม่ว่าจะเป็นรักเทิดทูนสถาบัน ปลูกฝังใครคืออริ ฝังความแค้นตั้งแต่โบราณ

เปิดไอเดียมีนบุรีโมเดล หยุดยั้ง นักเรียนเป็นนักเลง!

...

แม้ตำรวจจะพยายามตั้งจุดตรวจ ตรวจตราพื้นที่เสี่ยง และยืนประจำจุดตรวจ ค้นรถต้องสงสัยมากเพียงใด “แต่การก่อเหตุกลับไม่ได้ลดลงเลย” ด้วยปัจจุบันเด็กอาชีวะใช้โซเชียลชักชวนกันออกมาก่อเหตุ ทำให้เกินความสามารถตำรวจจะควบคุมทั่วถึงได้ ก่อเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเป็นที่วิตกกังวลของผู้ปกครองและสังคม

สร้างความเดือดร้อนให้ “ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่รู้สึกไม่ปลอดภัยเกรงจะถูกลูกหลง” จนเกิดความกลัวต่อการใช้ชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นช่วงการเดินทางไปทำงาน หรือการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ เพราะไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์ตีกันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ สิ่งนี้ทำลายภาพลักษณ์เชิงลบ “เด็กช่าง” จนสังคมไม่อยากให้บุตรหลานมาเรียนด้วยซ้ำ

เปิดไอเดียมีนบุรีโมเดล หยุดยั้ง นักเรียนเป็นนักเลง!

กระทั่งปี 2565 “เข้ามารับตำแหน่งรอง ผบก.น.3” ดูแลงานป้องกันการทะเลาะวิวาทของเด็กในสถานศึกษาลงพื้นที่ทำความเข้าใจต้นตอปัญหา และเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจกับ “ผู้บริหารสถาบันการศึกษา” แต่ปัญหาว่าสถาบันการศึกษามักส่งตัวแทนเบอร์เล็กมาร่วมประชุมจนไม่สามารถตัดสินใจแทนผู้กำหนดนโยบายได้

เช่นนี้จึงยกระดับความเข้มข้นนำเสนอ “กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)” เข้ามาเป็นเสมือนตัวเชื่อมระหว่างตำรวจกับสถาบันการศึกษาเริ่มเปิดใจพูดคุยถึงปัญหาปมความขัดแย้ง รวมไปถึงนักเรียนกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง และคู่อริต่างสถาบันจนถึงจุดมั่วสุมที่นักเรียนใช้ก่อเหตุและเส้นทางเดินทางเด็กกลุ่มเสี่ยง จนตำรวจรวบรวมข้อมูลตรงนี้ได้ครบ

เปิดไอเดียมีนบุรีโมเดล หยุดยั้ง นักเรียนเป็นนักเลง!

ผลลัพธ์คือได้เห็นต้นเหตุปัญหาชัดเจนขึ้นนำมาสู่ “มีนบุรีโมเดล เรารักอาชีวะ” ด้วยการออกแบบกำหนดมาตรการป้องกันให้สถาบันการศึกษานำแนวทางไปแก้ปัญหานักเรียนนักศึกษาตีกันอย่างยั่งยืนแบ่งออกเป็น 4 มาตรการ คือ “มาตรการเชิงรุก” ให้สถานศึกษาจัดทำประวัติของทุกคนโดยเฉพาะนักเรียนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ

ถ้าสถาบันใด “ไม่มีคุณภาพ ไม่คัดเด็กเข้ามาเรียน” ปล่อยให้เกิดปัญหาทะเลาะวิวาทอาจประสานสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาตรวจสอบดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ทำให้การติดตามเฝ้าระวังจุดเสี่ยงที่เด็กจะไปกระทำความผิด โดยผู้บริหารจะกำกับดูแลความประพฤติของนักเรียนตามมาตรการ ศธ.กำหนดเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

...

สำหรับ “ข้อ 2 มาตรการต่อเนื่อง” โดยต้นสังกัดต้องทำคู่มือระบบบริหารเชิงคุณภาพ จัดอบรมแนะแนวการพัฒนาศักยภาพนักเรียน จัดประชุมแกนนำนักเรียน และครูฝ่ายกิจการนักศึกษาทุกเดือน ในกรณีมีเหตุสงสัยว่าจะทะเลาะวิวาทกัน “ต้องรายงานต้นสังกัดและตำรวจทันที” ห้ามปกปิดข้อมูลเพื่อการแก้ปัญหาให้ถูกจุด

เปิดไอเดียมีนบุรีโมเดล หยุดยั้ง นักเรียนเป็นนักเลง!

ต่อด้วย “3.มาตรการทางสังคม” หน่วยงานรัฐตระหนักแก้ปัญหานักเรียนตีกันให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ “ผู้ปกครอง” ต้องสร้างเจตคติค่านิยมถูกต้องแก่เด็กๆ “4.มาตรการทางกฎหมาย” บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด สิ่งที่กล่าวมาเป็นโมเดลเดิม ศธ.ทำอยู่แล้วเพียงแต่เรานำมาปรับให้เป็นมีนบุรีโมเดลสอดรับการทำงานของตำรวจด้วย

ส่วนแนวทางดำเนินงานตำรวจแบ่งเป็น 4 ด้าน คือ “1.เก็บข้อมูลในพื้นที่” โดยโรงพักตรวจสอบเหตุนักเรียนตีกัน เพื่อหาสถาบันกลุ่มเสี่ยงกำหนดผู้รับผิดชอบระดับสถานีตำรวจ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารกระทรวง

ด้านที่สอง...“ประชุมกำหนดมาตรการป้องกันร่วมกัน” อันเป็นมาตรการเชิงรุก จัดทําข้อมูลประวัตินักเรียน และสร้างภาคีเครือข่ายนักเรียน ผู้ปกครอง ครู ตำรวจ “มาตรการทางสังคม” รัฐ ครอบครัว สื่อมวลชนร่วมมือกันตระหนักถึงปัญหานี้ร่วมกันแก้ไข “มาตรการทางกฎหมาย” ก็ต้องบังคับใช้อย่างจริงจัง รวดเร็ว และเป็นธรรม

...

เปิดไอเดียมีนบุรีโมเดล หยุดยั้ง นักเรียนเป็นนักเลง!

ด้านที่สาม...“การดำเนินการตามมาตรการ” บูรณาการทุกภาคส่วน “ตำรวจ” ใช้โครงการสายตรวจ stop walk and talk หยุดเดินพูดคุยกับน้องๆ เพื่อทำให้เห็นว่าตำรวจเอาจริง “สถานศึกษา” ต้องแจ้งข้อมูลสำคัญให้ตำรวจทราบ “ผู้ปกครอง” ต้องติดตามพฤติกรรมเด็กแจ้งข้อมูลหากผิดปกติจะนำนักจิตวิทยาเข้าช่วยเหลือประเมินผล

ด้านที่สี่...“การติดตามประเมินผล” ตรวจสอบข้อมูลสถิติการรับแจ้งเหตุ และคดีอาญาลดลง “สิ่งนี้ย่อมก่อเกิดความร่วมมือระหว่างตำรวจ สถาบันการศึกษา ผู้ปกครองที่ดีขึ้นตามมา” ในส่วนนักเรียนก็ต้องสร้างค่านิยมใหม่ เช่น ดึงรุ่นพี่ที่เรียนจบมีงานทำมาสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนจบมาต้องทำงาน

เพราะนักเรียนเหล่านี้ “อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ” แม้เคยทำผิดแต่มีโอกาสกลับตัวได้โดย “ตำรวจ” อาจต้องเข้าไปพูดคุยกับเด็กหน้าเสาธงบ่อยๆ เพื่อสร้างความคุ้นชินให้เกิดความไว้ใจต่อกัน และต้องติดตามผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาหากเด็กมีการศึกษาต่อ และการมีอาชีพ สิ่งนี้จะสะท้อนการดำเนินงานนั้นประสบความสำเร็จ

...

ท้ายสุด “การประชาสัมพันธ์” ด้วยให้สื่อนำเสนอภาพลักษณ์เชิงบวกยกย่องเชิดชูนักเรียนทำดีเพื่อสร้างกำลังใจอย่างน้ำท่วมน้องๆอาชีวะในเขต บก.น.3 ก็ไปบริการซ่อมเช็กรถ ซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ใน จ.เชียงราย

หลังใช้แนวทาง “มีนบุรีโมเดลมาเกือบ 3 ปี” ปรากฏว่าสถิติการก่อเหตุจากนักเรียนอาชีวะในท้องที่มีนบุรีลดลง “การรับแจ้งความและการดำเนินคดีอาญาก็ลดลง” แล้วตำรวจได้ข้อมูลเด็กที่กระทำผิดมากขึ้นแถมยังทราบว่า “แต่ละกลุ่มมีความเคลื่อนไหวอย่างไร” ทำให้ระดับกองบัญชาการนำโมเดลนี้ไปต่อยอดในหลายพื้นที่...

เปิดไอเดียมีนบุรีโมเดล หยุดยั้ง นักเรียนเป็นนักเลง!

 นี่ล้วนเป็นความร่วมมือระหว่าง “สถาบันการศึกษา ชุมชน ผู้ปกครอง นักเรียน และตำรวจ” ต่างมุ่งมั่นแก้ปัญหาลดนักเรียนตีกันนำมาสู่ “มีนบุรีโมเดล” ที่ดำเนินการมาเกือบ 3 ปีจนเกิดผลสำเร็จจริงมาแล้ว หากฝ่ายนโยบายนำไปขยายต่อยอดให้เกิดเป็นแนวทางปฏิบัติทั่วประเทศได้ก็คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย...

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม