Freedom for Diaz กับ 12 วันแห่งพลังใจ และภาพสะท้อนเหตุปัจจัยที่นำไปสู่ปัญหาการลักพาตัวในประเทศโคลอมเบียในอดีตจนถึงปัจจุบัน...

หลังการถูกจับกุมตัว ในที่สุดตระกูลดิอาซและชาวโลกซึ่งต่างเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของ “มานูเอล ดิอาซ” (Manuel Diaz) วัย 56 ปี บิดาของ “หลุยส์ ดิอาซ” (Luis Diaz) ปีกความเร็วจัดจ้านของสโมสรลิเวอร์พูลก็ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุขได้อีกครั้ง และความสุขที่ว่านั้นก็ยิ่งถูกอัปให้เพิ่มเลเวลอีกเป็นเท่าทวี เมื่อทั้งพ่อและลูกได้พบกันเป็นครั้งแรกหลังต้องสูญเสียซึ่ง “อิสรภาพ” เป็นระยะเวลานานถึง 12 วัน 

เกิดอะไรขึ้นกับ “พ่อและแม่” ของ “หลุยส์ ดิอาซ” ในช่วง 12 วันแห่งความอัดอั้นตันใจนี้บ้าง? รวมถึงเหตุใดประเทศโคลอมเบีย จึงกลายเป็นดินแดนแห่งการ “ลักพาตัว”

วันนี้ “เรา” ลองไปย้อนลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมกับพยายามค้นหาคำตอบที่ว่านี้ร่วมกัน....

...

12 วันกับการสูญเสียอิสรภาพของครอบครัวดิอาซ : 

28 ต.ค. 23 : จากรายงานของสื่อท้องถิ่นในประเทศโคลอมเบีย ระบุว่า “มานูเอล ดิอาซ” และ “ซิเลนิส มารูลันด้า” (Cilenis Marulanda) พ่อและแม่ของ “หลุยส์ ดิอาซ” ถูกกลุ่มคนร้ายติดอาวุธ 4 คน พร้อมรถจักรยานยนต์ บุกเข้าจับกุมตัวขณะอยู่ในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในเมืองบาร์รันคัส (Barrancas) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศโคลอมเบีย   

29 ต.ค. 23 : “ซิเลนิส มารูลันด้า” ได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัย โดยสื่อของโคลอมเบียรายงานว่าเธอถูกทิ้งไว้ในรถยนต์ ก่อนจะได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนจะถูกนำตัวไปยังสถานที่ปลอดภัย หลังจากนั้น ปฏิบัติการพลิกแผ่นดินค้นหาของกองทัพโคลอมเบียจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง

ด้าน “หลุยส์ ดิอาซ” ซึ่งกำลังเตรียมลงเล่นให้กับต้นสังกัดในเกมพรีเมียร์ลีกกับ “สโมสรนอตติงแฮม ฟอเรสต์” ขอถอนตัวออกจากทีม 

อย่างไรก็ดี พลังแห่งการแสดงออก “You’II Never Walk Alone” ของบรรดาเพื่อนร่วมทีม เพื่อส่งกำลังใจถึง “หลุยส์ ดิอาซ” ก็ได้ถูกแสดงออกมาอย่าง “ทรงพลัง” กับเหตุการณ์ที่ “ดิโอโก โชตา” ชูเสื้อหมายเลข 7 ประจำตัวของดาวยิงทีมชาติโคลอมเบีย หลังสามารถยิงประตูนอตติงแฮม ฟอเรสต์ ได้สำเร็จ

30 ต.ค. 23 : “หลุยส์ ดิอาซ” ได้รับคำแนะนำว่า ยังไม่ควรเดินทางกลับประเทศโคลอมเบียด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปีกหมายเลข 7 จึงต้องอยู่ในประเทศอังกฤษเพื่อรอรับฟังข่าวชะตากรรมของผู้เป็นบิดาด้วยความจำใจ ส่วนที่ประเทศโคลอมเบีย ได้มีการประกาศตั้งเงินรางวัลสูงถึง 40,000 ปอนด์ (1.7 ล้านบาท) ให้กับผู้ที่สามารถแจ้งเบาะแสของ “มานูเอล ดิอาซ”  

ขณะที่ปฏิบัติการค้นหานั้นทางการโคลอมเบีย ได้ระดมกำลังทหารมากกว่า 120 นาย เฮลิคอปเตอร์, เครื่องบินลาดตระเวน รวมถึงโดรน ออกปูพรมค้นหาอย่างจริงจัง

31 ต.ค. 23 : แม้จะมีปฏิบัติการค้นหาอย่างขนานใหญ่แต่กลับไร้วี่แววของ “มานูเอล ดิอาซ” จนกระทั่งทำให้เกิดความกังวลว่า “บางที” บิดาของปีกโคลอมเบีย อาจถูกพาตัวข้ามชายแดนไปยังประเทศอื่นแล้ว 

ด้วยเหตุนี้ “หลุยส์ ดิอาซ” จึงได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวบิดา ขณะที่ประชาชนชาวโคลอมเบีย ได้ออกมารวมกันตามท้องถนนในเมืองบาร์รันคัส เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวพ่อของหลุยส์ ดิอาซ ด้วยเช่นกัน   

...

1 พ.ย. 23 : “หลุยส์ ดิอาซ” กลับมาร่วมฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูลอีกครั้ง

2 พ.ย. 23 : รัฐบาลโคลอมเบีย ออกแถลงการณ์โดยระบุว่า "กองกำลังปลดปล่อยแห่งชาติ" (National Liberation Army) หรือ ELN เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวในครั้งนี้ จากนั้นไม่นาน ผู้แทนของ ELN ได้ออกแถลงการณ์ต่อสาธารณะว่า จะมีการปล่อยตัว “มานูเอล ดิอาซ” โดยเร็วที่สุด 

5 พ.ย. 23 : ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องชะตากรรมของผู้เป็นพ่อ แต่ “หลุยส์ ดิอาซ” ยังคงมีจิตใจที่แข็งแกร่ง โดยหลังจากถูกเปลี่ยนตัวลงไปเล่นในนัดที่ต้นสังกัดเจอกับสโมสรลูตัน ทาวน์ เขาสามารถยิงประตูตีเสมอได้เป็นผลสำเร็จ 

...

โดยหลังจากยิงประตูได้ ตัดสินใจเปิดเสื้อเพื่อโชว์ข้อความ “Freedom For Dad” เพื่อหวังร้องขอให้กลุ่ม ELN ยอมปล่อยตัวบิดา หลังจากนั้นเขายังโพสต์ข้อความลงบนโซเชียลมีเดีย เพื่อขอความเห็นใจจากกลุ่ม ELN อีกครั้ง 

6 พ.ย. 23 : ความหวังที่ “มานูเอล ดิอาซ” จะได้รับการปล่อยตัว “ดับวูบ” ลงอีกครั้ง หลังแกนนำกลุ่ม ELN ออกแถลงการณ์โดยระบุว่า การปล่อยตัวประกันจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่ารัฐบาลโคลอมเบียจะยอมถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่เขตอิทธิพลของ ELN 

8 พ.ย. 23 : สัญญาณการเจรจาระหว่างรัฐบาลโคลอมเบีย และ ELN เริ่มออกมาในเชิงบวกมากขึ้น หลังมีผู้แทนจากองค์การสหประชาชาติและคริสตจักรคาทอลิกเข้ามาร่วมในการพูดคุย จนทำให้เกิดกระแสข่าวว่า อาจจะมีการปล่อยตัว “มานูเอล ดิอาซ” ในเร็วๆ นี้ โดยจุดปล่อยตัวจะอยู่ใกล้ชายแดนประเทศโคลอมเบียและเวเนซุเอลา 

ด้าน “หลุยส์ ดิอาซ” เดินทางไปกลับสโมสรลิเวอร์พูลเพื่อเตรียมลงแข่งขันกับสโมสรตูลูส ที่ประเทศฝรั่งเศส ในศึกยูโรปาลีก 

8 พ.ย. 23 : ในที่สุด “มานูเอล ดิอาซ” ก็ได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัยโดยมีผู้แทนขององค์การสหประชาชาติและคริสตจักรคาทอลิก เดินทางไปรับตัวที่จุดนัดพบ โดยสิ่งแรกที่ผู้เป็นพ่อทำหลังได้รับอิสรภาพ คือ การโทรหาลูกชายที่กำลังอยู่ในประเทศฝรั่งเศส 

...

15 พ.ย. 23 : ชาวโคลอมเบียและชาวโลกต่างเต็มตื้นไปด้วยความสุข หลังได้เห็นภาพ “พ่อและลูกดิอาซ” หลั่งน้ำตากอดกันด้วยความสุข หลัง “ดิอาซผู้ลูก” เดินทางกลับมาตุภูมิเพื่อเตรียมรับใช้ชาติในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนอเมริกาใต้ 

สถิติการลักพาตัวในประเทศโคลอมเบีย : 

ในอดีตโดยเฉพาะช่วงยุค 90 ประเทศโคลอมเบีย ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสถิติการลักพาตัวสูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยในช่วงที่ “เลวร้ายที่สุด” นั้น เคยมีค่าสถิติการลักพาตัวสูงถึง 3,000 คนต่อปี!

โดยปัจจัยหลักที่ทำให้สถิติการลักพาตัวสูงมากมายถึงขนาดนั้น เป็นเพราะในช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศโคลอมเบีย ได้ประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง จนทำให้เกิด “กองโจรและกองกำลังกึ่งทหารติดอาวุธต่อต้านรัฐบาล” ขึ้นเป็นจำนวนมาก

ซึ่งทั้งกองโจรและกองกำลังกึ่งทหารติดอาวุธเหล่านี้ นอกจากเลือกใช้วิธี “ค้ายาเสพติด” แล้ว อีกหนึ่งยุทธวิธีที่เลือกใช้ คือ “ลักพาตัวเรียกค่าไถ่ผู้มีชื่อเสียงและชาวต่างชาติ” เพื่อหาเงินทุนในการต่อสู้กับรัฐบาลโคลอมเบียนั่นเอง 

สำหรับกองกำลังที่นิยมใช้วิธีการดังกล่าวมากที่สุด คือ กลุ่ม The Revolutionary Armed Forces of Colombia หรือ FARC ซึ่งเคยถือเป็นกลุ่มกบฏที่ใหญ่ที่สุด (เคยมีจำนวนกองกำลังติดอาวุธมากถึง 18,000 คน) และต่อต้านรัฐบาลได้อย่างแข็งแกร่งที่สุดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา (ปัจจุบันสามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับรัฐบาลจนยอมวางอาวุธแล้ว) 

โดยหากอ้างอิงข้อมูลกระทรวงกลาโหมโคลอมเบีย กลุ่ม FARC รับผิดชอบการลักพาตัวในประเทศโคลอมเบีย ตั้งแต่ปี 1970-2010 ในสัดส่วนที่สูงถึง 8.5% (3,310 คน) ส่วนกลุ่ม ELN อยู่ในลำดับที่ 2 โดยคิดเป็นสัดส่วน 7.4% (2,893 คน) 

อย่างไรก็ดี หลังความพยายามในการสร้างสันติภาพมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งทำให้รัฐบาลโคลอมเบีย สามารถเจรจากลุ่มต่อต้านต่างๆ ให้ยอมวางอาวุธเพื่อมาร่วมกันพัฒนาประเทศชาติประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกรณีของ FARC ปัญหาการลักพาตัวจึงค่อยๆ เบาบางลงตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา 

ดังจะเห็นได้จากสถิติการลักพาตัวระหว่างปี 2017-2021 ที่มีตัวเลขลดลงเหลือเพียงปีละไม่เกิน 200 คนเท่านั้น (อ้างอิงข้อมูลกระทรวงกลาโหมโคลอมเบีย) 

ปี 2017 : 195 คน 

ปี 2018 : 174 คน 

ปี 2019 : 163 คน 

ปี 2020 : 162 คน 

ปี 2021 : 137 คน

ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับในช่วงที่ประเทศโคลอมเบียมีกลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลจำนวนมากระหว่างปี 1993-2003 

ปี 1998 : 2,860 คน 

ปี 1999 : 3,204 คน 

ปี 2000 : 3,572 คน 

ปี 2001 : 2,917 คน 

ปี 2002 : 2,882 คน

ปี 2003 : 2,121 คน

อิทธิพลที่เหลือในปัจจุบันของกลุ่ม ELN :

กลุ่ม ELN ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1965 ถูกประเมินว่ามีกองกำลังติดอาวุธประมาณ 3,000 คน นั้น ถือเป็นกองกำลังติดอาวุธที่มีอิทธิพลมากเป็นลำดับ 2 ต่อจากกลุ่ม FARC และก็เช่นเดียวกัน “เส้นเลือดหลัก” ในการระดมทุนสำหรับหล่อเลี้ยงกองกำลังของ ELN คือ "การค้าขายยาเสพติดและการลักพาตัวเรียกค่าไถ่"

หากแต่หลังสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงทวิภาคีกับรัฐบาลโคลอมเบีย เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่ม ELN ได้ให้คำมั่นว่าจะหลีกเลี่ยง “การลักพาตัวพลเรือน” ด้วยเหตุนี้เมื่อเกิดเหตุลักพาตัว “ครอบครัวดิอาซ” ภายใต้คำกล่าวอ้างที่ฟังไม่ขึ้นว่าเป็นเพียง “ตัวประกันเศรษฐกิจ” (Economic Hostage) เพราะ “มานูเอล ดิอาซ” เพียงแต่ถูก “ควบคุมตัว” เพื่อหวังหารายได้เท่านั้น การเจรจาสันติภาพกับฝ่ายรัฐบาลจึงเกิดปัญหาขึ้นในทันที แต่แล้วเมื่อถูก “กดดัน” อย่างหนักจากหลายๆ ฝ่ายในที่สุด กลุ่ม ELN จึงยอมคืนอิสรภาพให้กับครอบครัวดิอาซในที่สุด 

อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน กลุ่ม ELN ยังถูกรัฐบาลสหรัฐฯ แคนาดา และสหภาพยุโรป ขึ้นบัญชีเป็น “องค์กรก่อการร้าย” อันเป็นผลมาจาก การใช้ความรุนแรงในหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการลักพาตัว (โดยเฉพาะชาวต่างชาติเพื่อเรียกค่าไถ่) การค้ายาเสพติด และการดำเนินกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอีกมากมาย  

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง 

เอริก เทน ฮาก 18 เดือนกับเงิน 17,910 ล้านบาท ไปต่อหรือพอแค่นี้?

โดมินิก โซโบสไล การกำเนิดใหม่ของ สตีวีจีมาร์คทู

ลิโอเนล เมสซี Passion และ อินเตอร์ ไมอามี

แมนฯซิตี้ ทริปเปิลแชมป์ ความสำเร็จที่มาจากความมุ่งมั่น

ลิเวอร์พูล การเริ่มต้นใหม่ หลังผ่านฤดูกาลแห่งความผิดหวัง