"จอร์จ โซรอส" และการเปลี่ยนอำนาจสู่รุ่นลูก ที่ "ทุน" ยังคงแนบแน่นกับการเมืองปีก "เสรีนิยม"...

“จอร์จ โซรอส” (George Soros) ชายอเมริกันเชื้อสายยิวที่เกิดในฮังการี วัย 92 ปี เจ้าของฉายา “พ่อมดการเงิน” จากการทำกำไรได้มากถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยวิธีการโจมตีค่าเงินปอนด์จนกระทั่งทำให้ธนาคารกลางอังกฤษต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ และต้องประกาศ “ลดค่าเงินปอนด์” เมื่อเดือนกันยายนปี 1992  

โดยชายผู้นี้เป็นผู้ถือครองความมั่งคั่งสุทธิ ณ ปัจจุบันที่ประมาณ 6,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการประเมินของ “ฟอร์บส์” (Forbes) ได้ประกาศส่งต่ออำนาจการบริหารอาณาจักร "Open Society Foundations หรือ OSF" องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งให้การสนับสนุนด้านการเงินมากกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปี แก่องค์กรต่างๆ ที่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย ความโปร่งใส และสิทธิมนุษยชน ซึ่งดำเนินการอยู่ในประเทศต่างๆ มากกว่า 120 ประเทศทั่วโลก (ตามรายงานที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ของ OSF) ให้กับ “อเล็กซ์ซานเดอร์ โซรอส” (Alexander Soros) บุตรชายวัย 37 ปี อย่างเป็นทางการแล้ว 

...

*** หมายเหตุ : อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ของ OSF “จอร์จ โซรอส” บริจาคทรัพย์สินส่วนตัวให้กับ OSF รวมกันแล้วมากกว่า 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปัจจุบันตามรายงานของฟอร์บส์ OSF มีความมั่งคั่งรวมกันมากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมี Soros Fund Management หรือ SFM ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สิน และ “อเล็กซ์ซานเดอร์ โซรอส” เป็นสมาชิกคนเดียวในครอบครัวที่มีชื่ออยู่ในคณะกรรมการบริหาร ของ SFM ***

จอร์จ โซรอส คือใคร : 

ด้านหนึ่ง... “จอร์จ โซรอส” เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านเงินทุนแก่บุคคล หรือสมาคมทั่วโลก ที่เคลื่อนไหวเพื่อส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย ความโปร่งใส สิทธิเสรีภาพ และการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ผ่านมูลนิธิ "Open Society Foundations" โดยในปี 2010 มีรายงานว่าได้บริจาคเงินให้กับ “องค์กร Human Rights Watch” เป็นจำนวนสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  

ส่วนอีกด้านหนึ่ง...ชายผู้นี้เป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินรายใหญ่กับ "พรรคเดโมแครต" มาอย่างเหนียวแน่นและยาวนาน โดยในการเลือกตั้งกลางเทอมที่ผ่านมา มีรายงานว่า “จอร์จ โซรอส” ได้บริจาคเงินทุนให้กับ "Super Political Action Committee" หรือ "Super PACS" ซึ่งเป็นกลุ่มทำงานด้านการเมืองที่สามารถระดมทุนและใช้จ่ายเงินโดยไม่จำกัด เพื่อสนับสนุน หรือโจมตีผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ฝ่ายตนเองไม่เห็นด้วย หรือเห็นด้วย แต่จะไม่สามารถประสานงานกับผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองโดยตรง เป็นจำนวนเงินสูงถึง 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากรายงานของ “ฟอร์บส์” ในช่วงระหว่างการรณรงค์เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี 2020

*** หมายเหตุ ตามรายงานของ The Wall Street Journal ปัจจุบัน Super PACS อยู่ภายใต้การดูแลของ “อเล็กซ์ซานเดอร์ โซรอส” อย่างเต็มตัวแล้ว ***   

หากแต่ด้านที่คนทั้งโลกมักเลือกที่จะจดจำ “จอร์จ โซรอส” มากกว่าคือ “โจรสลัดทางเศรษฐกิจ” อันเป็นผลมาจากการที่ในอดีตเคยนำ “กองทุนเฮดจ์ฟันด์” (Hedge Fund) ที่มีชื่อว่า “Quantum Endowment Fund” เข้าโจมตีค่าเงินปอนด์ด้วยกลยุทธ์ Short Selling จนกระทั่งทำให้ ธนาคารกลางอังกฤษ ต้องประกาศลดค่าเงินในปี 1992 และทำให้เขาได้รับผลกำไรมากถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

...

และต่อมาในปี 1997 ได้เกิดกรณีที่ใกล้เคียงกันจากการ “โจมตีค่าเงินบาท” ที่นำไปสู่วิกฤติการเงินครั้งใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชีย ที่เรียกว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง” และถึงแม้ว่าในเวลาต่อมา “จอร์จ โซรอส” จะออกมาปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ “อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัด” ของ มาเลเซียในเวลานั้นเชื่อมั่นว่า “ทั้งการโจมตีค่าเงินบาทและค่าเงินริงกิต” ที่เกิดขึ้น มีชายที่ชื่อ “จอร์จ โซรอส” อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน 

อเล็กซ์ซานเดอร์ โซรอส คือใคร : 

“จอร์จ โซรอส” ผ่านการสมรส 3 ครั้ง และมีบุตรรวมกันทั้งสิ้น 5 คน โดย “อเล็กซ์ซานเดอร์ โซรอส” เป็นบุตรชายจากภรรยาคนที่ 2 (เป็นลูกคนที่ 4 จากจำนวนพี่น้อง 5 คน) จบการศึกษาสูงสุดระดับปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ เมื่อปี 2018 และได้รับการแต่งตั้งเป็นรองประธาน OSF ในปี 2017  

...

ทั้งนี้ การเข้าครอบครองอาณาจักรเงินทุนของบิดา ของ “อเล็กซ์ซานเดอร์ โซรอส” ถือเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายพอสมควร เนื่องจากก่อนหน้านี้ “โจนาธาน โซรอส” (Jonathan Soros) ลูกคนที่ 3 จากภรรยาคนแรก วัย 53 ปี ได้รับการคาดหมายว่าน่าจะเป็น “ตัวเลือก” ในการสืบทอดอาณาจักรแห่งนี้มากกว่า เนื่องจากเพียบพร้อมไปด้วยโปรไฟล์ “เป็นนักธุรกิจที่เรียนจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แถมมียังมีพื้นฐานทางด้านการเงิน” ซึ่งตรงสเปกที่ผู้เป็นพ่อ “ต้องการ” ทุกกระเบียดนิ้ว และได้รับการแต่งตั้งให้เข้าทำงานที่ OSF ก่อนหน้า “อเล็กซ์ซานเดอร์” เสียอีก แถมในช่วงเวลาที่ว่านั้น “อเล็กซ์ซานเดอร์” มักมีชื่อปรากฏตามสื่อต่างๆ ในฐานะ “เพลย์บอยผู้พิสมัยงานปาร์ตี้กับบรรดาหญิงสาวและเหล่าเซเลปคนดัง” เสียด้วย 

แต่แล้ว...ด้วยเหตุผลที่ยัง “คลุมเครือ” จู่ๆ “จอร์จ โซรอส” ก็ตัดสินใจเลือก “อเล็กซ์ซานเดอร์” โดยให้เหตุผลผ่านสื่อเพียงว่า “อเล็กซ์ซานเดอร์ ได้รับความไว้วางใจมากกว่า และผมไม่ปรารถนาให้กองทุนอยู่ภายใต้การดูแลของลูกคนใดคนหนึ่ง และตามหลักการมันควรถูกบริหารจัดการจากบุคคลที่เหมาะสมที่สุด” เป็นเหตุให้ “โจนาธาน โซรอส” ตัดสินใจเดินออกจากอาณาจักรของครอบครัวเพื่อไปบริหารงานที่ “Athletes Unlimited” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ดูแลเรื่องบริหารงานลีกกีฬาอาชีพหญิงในสหรัฐอเมริกาแทนในปี 2011 รวมถึงยังได้ก่อตั้งกองทุนที่มีชื่อว่า “JS Capital Management” เป็นของตัวเองด้วย 

...

จากนั้นเป็นต้นมา “อเล็กซ์ซานเดอร์” จึงค่อยๆ ปรากฏตัวเข้ามามีบทบาทในอาณาจักรแห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังเปลี่ยนภาพ “หนุ่มเพลย์บอย” ที่มักปรากฏอยู่เกลื่อนตามหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ รวมถึง โซเชียลมีเดียของตัวเอง ไปสู่ภาพของ “หนุ่มนักบริหารที่คลุกคลีกับนักการเมืองชื่อดังที่มีแนวคิดเสรีนิยมแบบสุดขั้ว” อีกทั้งยังมีชื่อตามงานการกุศลต่างๆ เพื่อมอบเงินบริจาคแก่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมทางสังคมอยู่เสมอๆ จนกระทั่งได้รับมอบอาณาจักรจากบิดาอย่างเป็นทางการในที่สุด 

ส่วนลูกๆ อีก 3 คน ของ “จอร์จ โซรอส” ซึ่งประกอบไปด้วย “โรเบิร์ต โซรอส” (Robert Soros), “แอนเดรีย โซรอส” (Andrea Soros) และ “เกรเกอรี โซรอส” (Gregory Soros) นั้นมีรายงานเพียงว่า "โรเบิร์ต" ได้เข้าทำงานที่ "Soros Fund Management" ในช่วงประมาณปี 2014 แต่หลังจากเข้าทำงานจนถึงปี 2017 เขาได้ลาออกไปตั้งบริษัทบริหารกองทุนของตัวเอง ส่วน "แอนเดรีย" ปัจจุบันยังคงมีชื่อเป็นคณะกรรมการของ OSF ขณะที่ "เกรเกอรี" ลูกชายคนเล็กนั้นหันหลังให้กับความมั่งคั่งของครอบครัว ด้วยการไปเป็น “ประติมากร” และทำตัว Low Profile ตลอดมา

จอร์จ โซรอส VS อเล็กซ์ซานเดอร์ โซรอส :

แล้ว..."อเล็กซ์ซานเดอร์" แตกต่างจากบิดามากแค่ไหน? คำตอบจากปากของเขาคือ... “ผมชอบเรื่องการเมืองมากกว่าพ่อของผมเสียอีก!”

โดยในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับ The Wall Street Journal โซรอส หนุ่มวัย 37 ปี เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า...ต้องการขยายแนวคิดความเป็นเสรีนิยมของพ่อให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงมติเรื่องทำแท้งเสรี หรือความเท่าเทียมทางเพศ และยินดีที่จะใช้ให้การสนับสนุนทางด้านเงินทุนกับบรรดานักการเมืองสหรัฐฯ ที่อยู่ปีกเสรีนิยมด้วย 

ด้วยเหตุนี้...จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ “อเล็กซ์ซานเดอร์” จะแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบังว่า เขารู้สึกกังวลถึงโอกาสที่ "อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์" อาจจะสามารถกลับเข้าสู่ทำเนียบขาว รวมถึงพูดอย่างจงใจว่า องค์กรการทางเงินในเครือตระกูลโซรอสทั้งหมด พร้อมเป็นคีย์แมนสำคัญในการสนับสนุนทางการเงินในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในปี 2024 ด้วย  

ส่วนหากถามว่า “อเล็กซ์ซานเดอร์” สนับสนุนพรรคการเมืองเดียวกับบิดาหรือไม่?

คำตอบของคำถามนี้คือ...จากบันทึกรายงานการเข้า-ออกของทำเนียบขาว ระบุว่า นับตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2022 ที่ "ประธานาธิบดีโจ ไบเดน" เข้ารับตำแหน่งเป็นต้นมา “อเล็กซ์ซานเดอร์” เดินทางไปยังที่พำนักของผู้นำสหรัฐฯ รวมกันทั้งสิ้นเพียง 17 ครั้งเท่านั้น! แบบนี้คงไม่ต้องบอกแล้วมั้งว่า “พ่อกับลูก” เหมือนหรือต่างกันอย่างไร!.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง