ลิเวอร์พูล การเริ่มต้นใหม่ หลังผ่านฤดูกาลแห่งความผิดหวัง อะไรคือ “ความไร้เสถียรภาพ” ที่นำมาซึ่ง “ความพลาดพลั้ง”...

Season 2022/23 ถือเป็นฤดูกาลที่เหล่า “The Kop” รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเล่นรถไฟเหาะอยู่ก็เป็นได้ เพราะมันมีทั้งความรู้สึก “ชื่นหัวอกหัวใจจนแทบล้นปริ่ม” (ชัยชนะเหนือคู่อริตลอดกาล 7-0) ระคนไปกับ “ความทรงจำที่อยากปล่อยให้หายไปตามสายลม” (ไร้โทรฟี่ติดมือ แถมพลาดพื้นที่แชมเปียนส์ลีก)

“ความไร้เสถียรภาพ” ที่นำมาซึ่ง “ความพลาดพลั้ง” ที่เหล่าหมู่มวลเดอะค็อปภายใต้ร่มธงของ “Klopp is God” ไม่สู้คุ้นชินนักในบั้นปลายนี้...มีปัจจัยอะไรบ้างที่น่าจะเกี่ยวข้อง? 

...

เพราะนับตั้งแต่ “เยอร์เกน คลอปป์” หล่นวาทะอันน่าจดจำที่ว่า “We must turn from doubters to believers เราจะเปลี่ยนผู้กังขาให้กลายเป็นผู้ศรัทธา” เมื่อครั้งเข้ารับงานที่แอนฟิลด์ ณ ฤดูกาล 2015/16 เป็นต้นมา (รวม 8 ฤดูกาล) “ลิเวอร์พูล” พลาดพลั้งหล่นพื้นที่แชมเปียนส์ลีกเพียง 2 ครั้งเท่านั้น คือ ฤดูกาล 2015/16 และ ฤดูกาล 2022/23 

อย่างไรก็ดีสำหรับฤดูกาล 2015/16 อาจไม่ถูกเรียกว่าเป็น “ความผิดหวัง” ได้ เนื่องจาก “เยอร์เกน คลอปป์” เข้ามารับงานกลางคัน อีกทั้งยังไม่สามารถซื้อนักเตะในอุดมคติ รวมถึงวางรากฐานเรื่องแท็กติกการเล่นให้กับลูกทีมได้อย่างเต็มที่ ฉะนั้น แม้จะจบเพียงอันดับที่ 8 มันจึงถือเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” แต่สำหรับฤดูกาล 2022/23 ย่อมต่างออกไปเนื่องจาก Concept ลูกหนังต่างๆ ได้ถูกติดตั้งและวางรากฐานเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว ฉะนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่น่าวิเคราะห์เป็นอย่างยิ่งว่า...มันเกิดอะไรขึ้น ณ ถิ่นแอนฟิลด์ กันแน่? 

ปัญหาในเกมรับ :  

ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลเสียประตูในลีกรวม 47 ประตู ซึ่งมากกว่ากลุ่มทีมที่ได้โควตาไปเล่นแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 33 ประตู, อาร์เซนอล 43 ประตู, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมที่ถูกลิเวอร์พูลทะลวงไปถึง 7 ประตู ก็ยังเสียประตูในลีกเพียง 43 ประตู และ นิวคาสเซิล เสียไป 33 ประตู 

ขณะเดียวกัน ตัวเลข 47 ประตูที่ว่านี้ ถือเป็นตัวเลขการเสียประตูในลีกสูงสุด นับตั้งแต่ “เยอร์เกน คลอปป์” เข้ารับงานที่แอนฟิลด์อย่างเต็มตัวเสียด้วย หากไม่นับรวมฤดูกาล 2015/16 ที่เจ้าตัวเข้ารับงานกลางคันที่แอนฟิลด์ (ฤดูกาลนั้นลิเวอร์พูลเสียประตูรวมกันในลีก 50 ประตู) 

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ แนวรับของ “เยอร์เกน คลอปป์” อ่อนแอ่ลง?

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า...ฤดูกาลที่แล้ว (2021/22) การตะลุยลงเล่นรวมกันมากถึง 63 นัดในทุกรายการ โทษฐานเล่นดีเสียจนได้ลุ้นถึง 4 แชมป์ ก่อนที่ในท้ายที่สุดจะคว้าได้เพียง 2 แชมป์ คือ คาราบาวคัพ และ เอฟเอ คัพ ส่งผลให้นักเตะกำลังหลักเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อฤดูกาล 2022/23 เดินทางมาถึง 

...

“เฟอร์จิล ฟาน ไดค์” คนเดิมที่ไม่เหมือนเดิม :  

นักเตะกระดูกสันหลังในเกมรับที่ทีมจะขาดเสียมิได้อย่าง “เฟอร์จิล ฟาน ไดค์” ซึ่งแทบไม่เคยได้รับอนุญาตให้พัก นอกเสียจากจะถูกลักพาตัวออกจากสนามจากอาการบาดเจ็บ โดยในฤดูกาล 2021/22 ยอดกองหลังชาวเนเธอร์แลนด์ซึ่งอายุเข้าสู่เลข 3 แล้ว ลงเล่นในทุกถ้วยรวมกันถึง 51 นัด! (รวม 4,621 นาที) ส่วนฤดูกาลนี้ ลงเล่นรวม 41! นัด (รวม 3,645 นาที) 

ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น (31 ปี) และต้องลงตรากตรำทำศึกมาอย่างยาวนาน...สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ “เฟอร์จิล ฟาน ไดค์” ณ ปี 2023 มิใช่ภูผาที่ยากจะถูกเอาชนะเช่นเดิมอีกแล้ว โดยสิ่งที่สามารถบ่งชี้ในเรื่องนี้ได้อย่างเด่นชัด คือ สถิติการป้องกันที่อ่อนด้อยลงอย่างน่าใจหายหากเปรียบเทียบกับฤดูกาลที่แล้ว 

เปรียบเทียบสถิติผลงาน “เฟอร์จิล ฟาน ไดค์” ฤดูกาล 2021/22 และ ฤดูกาล 2022/23 : 

สถิติการเก็บคลีนชีต : 

ฤดูกาล 2022/23 : 11 นัด ฤดูกาล 2021/22 : 21 นัด 

สถิติการเสียประตู : 

ฤดูกาล 2022/23 : 36 ประตู ฤดูกาล 2021/22 : 21 ประตู

เปอร์เซ็นต์การสกัดชนะคู่แข่ง : 

ฤดูกาล 2022/23 : 52% ฤดูกาล 2021/22 : 63%

สถิติการดวลแย่งลูกกลางอากาศ : 

ฤดูกาล 2022/23 : ชนะ 98 ครั้ง แพ้ 35 ครั้ง ฤดูกาล 2021/22 : ชนะ 117 ครั้ง แพ้ 34 ครั้ง

สถิติการดวลแย่งบอลจากคู่แข่ง : 

ฤดูกาล 2022/23 : ชนะ 130 ครั้ง แพ้ 57 ครั้ง ฤดูกาล 2021/22 : ชนะ 147 ครั้ง แพ้ 53 ครั้ง

...

พื้นที่ว่างทางด้านขวาปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก : 

พื้นที่เปิดโล่งทางด้านขวาในยามที่ “เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาโนลด์” ตะลุยขึ้นไปเล่นเกมรุกร่วมกับ “โมฮาเหม็ด ซาลาห์” กลายเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับคู่แข่งทุกทีมที่ลงเผชิญหน้ากับลิเวอร์พูลในเวลานี้ ยิ่งเมื่อ “ไดค์” อ่อนแอลงกว่าเก่า แถมคู่ขาที่ผันเปลี่ยนเข้ามา หากเป็น “โจ โกเมซ” หรือ “โจเอล มาติป” ซึ่งจะต้องเข้ามารับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าวเมื่อ “เทรนต์” ตะลุยขึ้นหน้า ต่างล้วนแล้วแต่สร้างผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง 

ในขณะที่คู่ขาที่น่าจะจับคู่กับ “ไดจ์” ได้ดีกว่าอย่าง “อิบราฮิม โกนาเต” ก็พบกับอาการบาดเจ็บรบกวนอย่างต่อเนื่อง (ฤดูกาลนี้ลงเล่นรวมทุกถ้วยเพียง 24 นัด 2,080 นาที) “จุดเปราะบาง” ที่ว่านี้...ก็ยิ่งทำให้แผลถูกขยายมากขึ้นไปอีก 

...

โดยเฉพาะหากฝ่ายตรงข้ามมี “ปีกซ้ายที่จัดจ้าน” เช่นที่ “คาโอรุ มิโตมะ” ของ “ไบรจ์ตัน” เคยจัดงานแสดงโชว์บนฟลอร์หญ้า จนสามารถแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวในฤดูกาลนี้ 

แดนกลางที่ไม่ใช่ “เฮฟวีเมทัลฟุตบอล” แบบที่เคยเป็น : 

หากยึดตามแท็กติก 4-3-3 แดนกลางที่ลงตัวที่สุดของ “เยอร์เกน คลอปป์” คงหนีไม่พ้น “จอร์แดน เฮนเดอร์สัน” (32 ปี), “ฟาบินโญ” (29 ปี) และ “ติอาโก อัลคันทารา” (32 ปี) แต่ก็เช่นเดียวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับแดนหลัง ทั้ง “เฮนโด้” และ “ฟาบินโญ” มิดฟิลด์ที่สามารถเล่นทั้งรับและรุกได้อย่างครบเครื่อง (หากร่างกายสมบูรณ์) เริ่มแสดงให้เห็นถึง “ความเสื่อมถอยทางร่างกาย” ในการวิ่งไล่บดขยี้คู่ต่อสู้ในแดนกลางอย่างเห็นได้ชัด หลังฤดูกาลที่แล้วผ่านการกรำศึกหนักมาอย่างยาวนาน (เฮนเดอร์สัน ฤดูกาลที่แล้วลงเล่นรวมทุกถ้วย 57 นัด 3,876 นาที, ฟาบินโญ ฤดูกาลที่แล้วลงเล่นรวมทุกถ้วย 48 นัด 3,693 นาที) 

โดยเฉพาะในรายของ “ฟาบินโญ” ซึ่งเคยลงเล่นอย่างเหนือชั้นจนกระทั่งสามารถเข้าครอบครองพื้นที่แดนกลางให้กับทีมได้อย่างแข็งแกร่ง หากแต่ในช่วงต้นๆ ของฤดูกาล 2022/23 การอ่านเกมเพื่อดักทางคู่ต่อสู้ และการเข้าปะทะแย่งบอลดูเหมือนแทบไม่ใช่ “ฟาบินโญ” ที่เดอะค็อปคุ้นเคยแม้แต่น้อย 

ในเมื่อมิดฟิลด์กำลังหลักถดถอยลง การเข้า “เพรสซิ่ง” ที่เคยแข็งกร้าวก็ย่อมไม่ดุเดือดและเข้มขลังเช่นเดิม รวมไปถึงการวิ่งลงมาช่วยปิดพื้นที่ทางขวาในแดนหลังในยามที่ “เทรนต์” ตะบึงขึ้นไปเล่นเกมรุกด้วยเช่นกัน  

ส่วน “ติอาโก อัลคันทารา” (ฤดูกาลนี้ลงเล่นรวมทุกถ้วยไปเพียง 28 นัด รวม 1,963 นาที) อาการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวายและกล้ามเนื้อสะโพกที่รุมเร้าไม่หยุดหย่อนทำให้ทีม “ขาดการบัญชาเกมที่ยอดเยี่ยม การจ่ายบอลอันเหนือชั้น รวมถึงเทคนิคอันล้ำเลิศสำหรับการแหวกวงล้อมการเพรสซิ่งจากคู่ต่อสู้ไปโดยปริยาย 

ส่วนผู้เล่นในแผงมิดฟิลด์รายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น “นาบี เกอิตา”, "อเล็กซ์ ออกซ์เลด แชมเบอร์เลน" ก็ดูจะไม่สามารถทำให้แดนกลางของลิเวอร์พูลเป็นอย่างที่เคยเป็นได้เมื่อได้รับโอกาส ซึ่งคำตอบที่ชัดเจนและสามารถยืนยันในเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็คือ การที่ทั้งสองคนถูกปล่อยออกจากทีมหลังจบฤดูกาลนี้ 

ขณะที่ในรายที่ดูดีมีความหวังและเป็นเด็กปั้นของ “คลอปป์” อย่าง “ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์” (20 ปี) และ “เคอร์ติส โจนส์” (22 ปี) หรือ ที่แฟนๆ ลิเวอร์พูลยกย่องให้เป็น “เคอร์ติส เบลลิงแฮม” หลังโชว์ฟอร์มได้อย่างเปล่งปลั่งในช่วงท้ายฤดูกาล ก็ยังเด็กและดิบเกินไปที่จะขึ้นมาทำหน้าที่แทนทั้ง “เฮนโด้” หรือ “ติอาโก อัลคันทารา” ได้อย่างไร้รอยต่อ

ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแล้วใช่ไหมว่า...เพราะเหตุใดหลังปล่อยตัว “นาบี เกอิตา”, "อเล็กซ์ ออกซ์เลด แชมเบอร์เลน” และ “เจมส์ มิลเนอร์” ออกจากทีมเรียบร้อยแล้ว “ลิเวอร์พูล” จึงได้เร่งเร้าในการปิดดีล “Hendo Mark II” อย่าง “อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์” รวมถึงมีข่าวกับมิดฟิลด์ Box to Box เนื้อหอมในยุโรปอีกหลายต่อหลายคนแทบจะในทันที!

การสร้างสามเหลี่ยมแนวรุกใหม่ที่ยังต้องรอความลงตัว :  

การลงเล่นแบบไม่ต้องมองตาก็รู้ใจของสามประสานในแนวรุก “ซาดิโอ มาเน”, “โมฮาเหม็ด ซาลาห์” และ “โรแบร์โต เฟอร์มิโน” เดินทางมาถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อ “มาเน” ย้ายออกจากทีม ส่วน “บ็อบบี้ เฟอร์มิโน” ถูกจับให้ลงเล่นน้อยลงและถูกปล่อยออกจากทีมหลังสิ้นสุดฤดูกาล เพื่อเปิดทางไปสู่การสร้างสามเหลี่ยมแนวรุกยุคใหม่ หลังการทุ่มเงินก้อนโตซื้อกองหน้าแห่งความหวังอย่าง “ดาร์วิน นูนเญซ” และ ศิลปินลูกหนังจอมเทคนิคอย่าง “โคดี กัคโป” และยังมีอีกสองกำลังสำคัญอย่าง ปีกความเร็วสูงที่เล่นได้อย่างกล้าได้กล้าเสียอย่าง “หลุยส์ ดิอาซ” และ “ดิอาโก โชตา” มือล่าสังหารที่ไว้ใจได้ คอยเป็นกำลังเสริม    

อย่างไรก็ดี แม้จะมีการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านเอาไว้ดิบดีแล้ว แต่สุดท้ายปัญหาอาการบาดเจ็บที่สลับกันเล่นงานทั้ง “ดิอาซ”, “โชตา” และ “เฟอร์มิโน” อีกทั้ง “นูนเญซ” และ “กัคโป” ที่แม้จะเห็นแน่ๆ ว่า “มีของ” แต่ก็ยังเล่นกับเพื่อนร่วมทีมได้ไม่สมดุลมากนัก “ภาระก้อนใหญ่ๆ” จึงยังต้องตกไปที่ “โมฮาเหม็ด ซาลาห์” อย่างช่วยไม่ได้ (ฤดูกาลนี้ลงเล่นทุกถ้วยรวมกัน 51 นัด รวม 4,296 นาที ยิง 30 ประตู 30 แอสซิสต์)   

ในเมื่อ...ทั้งแดนหลัง แดนกลาง แดนหน้า ต่างเผชิญหน้ากับ “ปัญหา” การออกสตาร์ตฤดูกาลของลิเวอร์พูล จึงดำเนินไปอย่าง “ไร้ซึ่งสเถียรภาพ” และเลยเถิดไปจนแม้กระทั่งเข้าสู่ช่วงครึ่งฤดูกาลก็ยังไม่สามารถไต่อันดับขึ้นไปสู่พื้นที่ “แชมเปียนส์ลีก” ได้สำเร็จ มิหนำซ้ำยังกระเด็นตกรอบทั้ง เอฟเอ คัพ และ คาราบาวคัพ เสียตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมเสียด้วย 

ด้วยเหตุนี้ แม้ในช่วงท้ายฤดูกาลทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเริ่มเข้าที่เข้าทางและสามารถทำสถิติไม่แพ้ใครในลีกได้ในช่วง 9 นัดสุดท้าย แต่บาดแผลในช่วงต้นฤดูกาลก็สาหัสเกินกว่าที่จะสามารถเยียวยารักษาได้ทัน และต้องไปเริ่มต้นกันใหม่ในฤดูกาลหน้าในที่สุด...

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง :