วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี เป็น "วันสตรีสากล"!

วันสตรีสากล มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี ในการต่อสู้ของผู้หญิง เพื่อสิทธิสตรี และความยุติธรรม จนกระทั่งได้รับการประกาศเป็น "วันสตรีสากล" (International Womens‘s Day) โดยองค์การสหประชาชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2518 และขยายวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักในความสำคัญของผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นเรื่องความเสมอภาคทางเพศ, ความรุนแรง และการเหยียดหยามทางเพศ


"เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์" วันนี้ ขอนำเรื่องราวของ "5 ที่สุดผู้หญิงคนสำคัญ" ระดับโลก มาแบ่งปันกับท่านผู้อ่าน ...

ทั้งผู้หญิงที่ไม่มีตัวตนในโลกความจริง แต่มีอิทธิพลต่อคน (จริงๆ) ทั้งโลกมานานเกือบสามพันปี และผู้หญิงที่มีตัวตนจริงๆ

5 ที่สุดผู้หญิงคนสำคัญ ?

ผู้เขียนเริ่มต้นจากรายชื่อผู้หญิงตามโจทย์ของผู้เขียนจำนวน 20 คน แล้วตัดให้เหลือเพียง 5 คน
โดยที่ต้องตัดชื่อของผู้หญิงหลายคนที่ "ไม่อยากตัด" เช่น เฮเลน เคลเลอร์, ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล, พระนางเจ้าวิกตอเรีย, มาร์กาเรต แทคเชอร์, อินทิรา คานธี, ออเดรย์ เฮปเบิร์น ฯลฯ

...

1. เทพมารดาไกอา

ก่อนจะมีสวรรค์ และโลก จักรวาลมีแต่ "ความมืดที่ว่างเปล่า"

ในความมืดที่ว่างเปล่า มีนกที่มีปีกสีดำ ชื่อ นิกซ์ (Nyx)

นกนิกซ์ วางไข่ทองคำ เกิดเป็น อีรอส เทพเจ้าแห่งความรัก เปลือกไข่ซีกหนึ่ง เกิดเป็น ยูเรนัส อีกซีกหนึ่ง เกิดเป็น ไกอา (Gaia)

ยูเรนัส คือ "สวรรค์" ไกอา คือ "โลก" เป็นเทพมารดาแห่งโลก และเป็น "โลก" เองด้วย

ยูเรนัส กับ ไกอา รักกัน ให้กำเนิด โครนอส หรือ เทพแห่งดาวเสาร์

โครนอส ให้กำเนิด ซูส หรือเทพแห่งดาวพฤหัสบดี ซูส ชิงบัลลังค์สวรรค์จาก โครนอส แล้วส่ง โพรมีเทียส ไปสร้างมนุษย์ผู้ชายบนโลก

โพรมีเทียส สร้างมนุษย์ผู้ชาย โดยเลียนแบบรูปร่างให้เหมือน "พระเจ้า" ผู้สร้าง และไปขโมย "ไฟ" จากสวรรค์มาให้มนุษย์บนโลก ที่แรกเริ่มก็เคารพและเกรงกลัวพระเจ้า แต่ต่อๆ มา ก็คลายความเกรงกลัวพระเจ้า

เทพซูส จึงลงโทษมนุษย์บนโลก ด้วยการให้ ฮีฟีสตัส สร้างผู้หญิงคนแรกขึ้นมา คือ แพนดอรา โดยให้มีความสวย, เสน่ห์, ความฉลาด และความอยากรู้อยากเห็น และมอบ "กล่องแพนดอรา" ให้ด้วย พร้อมกับคำเตือนว่า "อย่าเปิดกล่อง"

แต่ แพนดอรา ก็เปิด ปลดปล่อยความชั่วร้ายสารพัดอย่างออกมา "ทำร้าย" มนุษย์ทั้งโลก

นี่คือ "เวอร์ชัน" หนึ่งของเทพปกรณัมกรีก

ถึงแม้จะเป็นเพียงเรื่องราวในเทพปกรณัม แต่ด้วยอิทธิพลที่ยืนยงยาวนานมาแล้วเกือบสามพันปี และอย่างแน่นอน ถ้าไม่มี "เทพมารดาไกอา" ก็จะไม่มีทั้ง "โลก" และ "มนุษย์" เกิดขึ้นบนโลก

ผู้เขียนจึงขอยก "เทพมารดาไกอา" เป็นผู้หญิงคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของโลก!

2. พระนางเฮเลน แห่งสงครามกรุงทรอย

"ในหน้าที่ขับเคลื่อนกองทัพเรือหนึ่งพันลำ !"

พระนางเฮเลนแห่งสงครามกรุงทรอย ในมหากาพย์ The Iliad ของโฮเมอร์ !

กรุงทรอย มีจริงหรือไม่ ?

คำตอบถึงวันนี้ คือ มีจริง อยู่ที่ประเทศตุรกี หรือในชื่อใหม่ "ทรูเคีย"

แสดงว่า สงครามกรุงทรอย ก็เป็นเรื่องจริง ใช่หรือไม่ ?

คำตอบคือ ไม่ใช่!

เป็นความจริงว่า ในประเทศตุรกี ที่เมืองโบราณ ฮิซาร์ลิค (Hisarlike) มีการขุดพบซากเมืองโบราณ เป็นชั้นๆ รวม 9 ชั้น ซึ่งผู้ขุดพบคือ นักโบราณคดีชาวเยอรมัน ชื่อ ไฮน์ริช ชลิแมนน์ (Heinrich Schliemann : พ.ศ. 2365-2433) เชื่อว่า เป็นส่วนหนึ่งของกรุงทรอยในมหากาพย์ The Iliad และได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการของตุรกี เป็น "สวนประวัติศาสตร์แห่งชาติ ทรอย" (Troy Historical National Park) เมื่อปี พ.ศ. 2539

...

ต่อมาอีกสองปี คือ พ.ศ. 2541 ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนโดย ยูเนสโก เป็น "แหล่งมรดกโลก" (World Heritage Site)

แต่ก็เท่านั้น ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสงครามกรุงทรอย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับ พระนางเฮเลน

เรื่องราวของ พระนางเฮเลน จึงยังเป็นเรื่องอยู่ในมหากาพย์

แล้วทำไมพระนางเฮเลน แห่งสงครามกรุงทรอย จึงเป็นอีกหนึ่งใน 5 ผู้หญิงคนสำคัญของโลก?

ในมหากาพย์ The Iliad แก่นของเรื่องคือ สงครามระหว่าง กองทัพกรีก กับกรุงทรอย สาเหตุเกิดจากการลักพาตัว พระนางเฮเลน ภรรยาของ เมเนลอส กษัตริย์นักรบแห่งสปาร์ตา โดยเจ้าชายปารีส แห่งกรุงทรอย ด้วยความช่วยเหลือของ เทพวีนัส

ฝ่ายกรีก จึงยกกองทัพเรือ "เป็นจำนวนนับพันลำ" มาทำศึกกับกรุงทรอย

สงครามกรุงทรอยยืดเยื้อ ถึงสิบปี ทั้งฝ่ายกรีก และกรุงทรอย สูญเสียขุนศึกคนสำคัญของทั้งฝ่ายกรุงทรอย เช่น เฮกเตอร์ และฝ่ายกรีก เช่น อคิลลีส

สงครามยุติลงด้วยความพินาศของ กรุงทรอย

...

อย่างแน่นอน เพียงแค่นี้ คงไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้เขียนยก พระนางเฮเลน เป็นหนึ่งใน 5 ผู้หญิงคนสำคัญของโลก

เหตุผลใหญ่ที่สุดของผู้เขียน คือ ....

ก็เพราะ พระนางเฮเลน เรื่องราวความเป็นมหากาพย์ ที่มีทั้งเรื่องของจริยธรรม, คุณธรรม, จารีตการทำสงคราม, ความกล้าหาญ, ความรักของพ่อ-ลูก, ความยิ่งใหญ่ของความเป็นเพื่อน, ความพินาศจากการกระหายสงคราม จึงเด่นชัดขึ้นมา ...

ส่งผลให้มหากาพย์ ดังเช่น มหาภารตะ และ รามายณะ เด่นชัดขึ้นมาด้วย เพราะทั้งสองมหากาพย์ ก็มีเรื่องของ "ผู้หญิง" ที่เป็น ชนวนให้เกิดสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

คือ พระนางเทราปที ในมหากาพย์ภารตะ ที่ถูกย่ำยีเกียรติ และศักดิ์ศรีของผู้หญิงกลางท้องพระโรง และนางสีดา ที่ถูกลักพาตัวโดย ทศกัณฐ์ ใน รามายณะ

3. อีฟแห่งแอฟริกา แม่ของคนทั้งโลก

เมื่อเอ่ยชื่อ "อีฟ" คนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึง "อีฟ" ผู้หญิงคนแรกใน พระคัมภีร์ไบเบิล ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้า ให้เป็น "เพื่อน" กับ "อาดัม" มนุษย์ผู้ชายคนแรก

...

แต่ อีฟ ของเราวันนี้ มิใช่ อีฟ ในพระคัมภีร์ไบเบิล หากเป็น "ผู้หญิง" ที่ "นักวิทยาศาสตร์" เชื่อว่า มีตัวตนจริง และเป็น "แม่" ของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ทั้งหมดในปัจจุบัน

เรื่องราวเกี่ยวกับ วิวัฒนาการของมนุษย์แต่เดิมมา ล้วนเป็นผลจากการศึกษา ฟอสซิลมนุษย์โบราณ ย้อนหลังไปไกลหลายล้านปี จนกระทั่งมาถึงมนุษย์ยุคปัจจุบัน

แต่เรื่องราว "อีฟ" วันนี้ มาจากหลักฐานทางพันธุกรรม คือ ดีเอ็นเอ

ปี พ.ศ. 2530 อัลแลน วิลสัน (Allan Wilson) และคณะ ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ผลการศึกษา ดีเอ็นเอ จากไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) ในเซลล์มนุษย์ 147 คน ซึ่งถ่ายทอดเฉพาะผู้หญิง ว่า มนุษย์ปัจจุบัน มีบรรพบุรุษร่วม เป็นผู้หญิงคนหนึ่งในแอฟริกาใต้ เมื่อประมาณ 200,000 ปีมาแล้ว และตั้งชื่อเรียกเธอว่า "Mitochondrial Eve" (ไมโตคอนเดรียล อีฟ) เพื่อแยกจาก "อีฟ" ในพระคัมภีร์

แต่ผู้เขียนขอเรียกเธอเป็น "อีฟ" แห่งแอฟริกา!

ต่อมา ตามทฤษฎี "ออกจากแอฟริกา" (Out of Africa) มนุษย์ยุคใหม่นี้ จึงเดินทางออกจากแอฟริกา แล้วแพร่กระจายไปทั่วโลกถึงปัจจุบัน

ตามทฤษฎี "แม่อีฟ" แห่งแอฟริกานี้ มิได้หมายความว่า "แม่อีฟ" จะเป็นผู้หญิงคนเดียวในแอฟริกาขณะเธอมีชีวิตอยู่ แต่เธอเป็นผู้หญิงที่พันธุกรรมของเธอ แพร่กระจายไปทั่วโลก จนกระทั่งมนุษย์ทุกคนทั่วโลกในปัจจุบัน มี "แม่อีฟ" แห่งแอฟริกา เป็นต้นสายพันธุกรรม ...

ถึงแม้จะมีความคิดเห็นทางวิทยาศาสตร์ ที่ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎี "อีฟ" แห่งแอฟริกา แต่ทฤษฎีนี้ ก็เป็นทฤษฎีหลักของวงการวิทยาศาสตร์วันนี้

"อีฟ" แห่งแอฟริกา จึงมีความเป็นไปได้สูง ที่จะเป็น "แม่" คนแรกจริงๆ ของมนุษย์ยุคปัจจุบัน ซึ่งรวมทั้งตัวผู้เขียนและท่านผู้อ่านทุกท่านด้วย

แล้วทำไม "อีฟ" แห่งแอฟริกา จะไม่สมควรกับการเป็นหนึ่งใน 5 ผู้หญิงคนสำคัญที่สุดของเราล่ะ ?

4.โจน ออฟ อาร์ค

สงครามร้อยปี ระหว่างฝรังเศส กับอังกฤษ (ค.ศ. 1337-1453 : พ.ศ. 1880-1996)!

โจน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc) เกิดในครอบครัวชาวนาที่เมือง คอมเรมี วันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1442 (พ.ศ. 1955)

เมื่ออายุ 17 ปี โจน ออฟ อาร์ค อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ประกาศได้ยินเสียงจากพระเจ้า ให้เธอเป็นผู้นำ พระเจ้าชาร์ลส์ ที่ 7 ไปเข้าพิธีราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ

ขณะนั้น ฝรั่งเศส กำลังเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในสงครามร้อยปี

โดยการแต่ตัวเป็น ชาย สวมชุดนักรบ และศรัทธาเกินร้อย โจน ออฟ อาร์ค นำทัพฝรั่งเศส กอบกู้สถานการณ์สงคราม ทำให้ฝรั่งเศส ได้รับชัยชนะที่สำคัญ และในที่สุด พระเจ้าชาร์ลส์ ที่ 7 ก็ได้เข้าพิธีบรมราชาภิเษก เป็นกษัตริย์อย่างสมบูรณ์ ที่เมืองแรงส์ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1429 (พ.ศ. 1972)

หลังบรรลุเป้าหมาย โจน ออฟ อาร์ค ก็อยากกลับไปใช้ชีวิตดังเช่น คนธรรมดาที่บ้านเกิด แต่สถานการณ์ไม่อำนวย เธอจึงออกรบเพื่อฝรั่งเศสต่อ เพราะสงครามร้อยปี ยังไม่จบ ...

แต่แล้ว โจน ออฟ อาร์ค ก็ถูกจับโดยกองทัพฝรั่งเศส ที่ฝักใฝ่อังกฤษ และเธอก็ถูก "ขายต่อ" ให้อังกฤษ นำเธอไปขึ้น ศาลพระ ที่เมืองรูออง (Rouen) ในฝรั่งเศส

โจน ออฟ อาร์ค ถูกศาลพระตัดสินว่า มีความผิดในฐานะเป็น แม่มด เพราะแต่งตัวเป็นชาย และมีพฤติกรรมทำให้คนหลงเชื่อว่า เธอเป็น "คน" ของพระเจ้า!

โจน ออฟ อาร์ค ถูกเผาทั้งเป็นในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1431 (พ.ศ. 1974) ขณะมีอายุเพียง 19 ปี

แต่ในปี ค.ศ. 1456 (พ.ศ. 1999) ศาลพระ มีการพิจารณาคดีความของ โจน ออฟ อาร์ค ใหม่ และกลับคำตัดสิน เป็นว่า เธอไม่ผิด ...

หลังสงครามร้อยปี โจน ออฟ อาร์ค ก็ได้รับการยกย่อง ทั้งโดยคนฝรั่งเศส และอังกฤษ ตามด้วยคนในภาคพื้นยุโรป และต่อๆ มา ก็โดยคนทั้งโลก ถึงปัจจุบัน

ในปี ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) คริสตจักรแห่งอังกฤษ (Church of England) ก็ได้ประกาศให้ โจน ออฟ อาร์ค เป็น "นักบุญ" หรือ "Saint"

ทุกวันนี้ ถ้าใครไปเยือนเมือน รูออง ที่ โจน ออฟ อาร์ค ถูกเผาทั้งเป็น ก็จะได้เห็น "Church of Saint Joan of Arc" (โบสถ์ เซนต์โจนออฟอาร์ค) เปิดต้อนรับผู้ศรัทธา ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ค.ศ. 1979 ( พ.ศ. 2522 )

สำหรับผู้เขียน ความสำคัญของ โจน ออฟ อาร์ค คือ การยึดมั่นในศรัทธาอย่างแรงกล้า จนกระทั่งสามารถทำในสิ่งที่เป็น "มิชชันอิมโพสซิเบิล" ได้ โดยที่การกระทำของเธอนั้น มิใช่เพื่อตัวเธอเอง หากเป็นเพื่อคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อชาติ เพื่อบ้านเมือง

5. แมรี คูรี

แมรี คูรี (Marie Curie) มีชื่อเสียงเพราะ กัมมันตภาพรังสี!

แม่รี คูรี ตายเพราะ กัมมันตภาพรังสี!

แมรี คูรี ช่วยชีวิตผู้คนมากมายด้วย กัมมันตภาพรังสี!

ชีวิตและเส้นทางสู่ความสำเร็จของ แม่รี คูรี เป็นตัวอย่างของผู้หญิงที่สู้ชีวิต พร้อมเดินหน้าทำภารกิจ ที่ตั้งใจอย่างไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ แม้แต่ความไม่พร้อม...หรือไม่มี...สิ่งที่จะช่วยให้เธอทำงานวิทยาศาสตร์ได้อย่างสะดวกและปลอดภัยขึ้น

และ แมรี คูรี ก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ "กำลังใจ" ในการสู้ชีวิต การทำงานและการเผชิญ กับอุปสรรคที่บั่นทอนกำลังความคิดอย่างสาหัส

แมรี คูรี เกิดที่กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ เมื่อปี พ.ศ. 2410 เก่งคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ แต่ก็ต้องเดินทางไปศึกษาฟิสิกส์ระดับปริญญาในฝรั่งเศส ที่ มหาวิทยาลัยปารีส หรือ มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ เพราะศึกษาในโปแลนด์ไม่ได้

พบกับ ปีแอร์ คูรี (Pierre Curie) นักฟิสิกส์ที่ปกติ มุ่งมั่นแต่เรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่สนใจผู้หญิง เพราะเห็น ผู้หญิง เป็นศัตรูกับ วิทยาศาสตร์ แต่เมื่อได้รู้จักกับ แมรี ก็เห็นแววความเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดของเธอ
แมรี คูรี จึงแต่งงานกับ ปีแอร์ คูรี ปี พ.ศ. 2430

ปีแอร์ ทุ่มเทกำลังใจสุดยอดให้กับ แมรี ช่วยให้เธอได้ทำงานวิจัยสำหรับปริญญาเอกฟิสิกส์เกี่ยวกับ "รังสีลึกลับ" ในห้องทดลองเก่าๆ เพราะมหาวิทยาลัยไม่ยอมให้ทุน เนื่องจากมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส ก็ยังกีดกันผู้หญิง ถึงแม้จะไม่ถึงกับ ห้าม

แมรี คูรี และ ปีแอร์ คูรี ค้นพบ รังสีจากแร่พิทช์เบลนด์ ตามที่ อองรี แบ็กเกอแรล ได้สังเกตพบมาก่อน และแมรี ก็ตั้งคำเรียกรังสีที่พบว่า "radioactivity" (กัมมันตภาพรังสี)

ปี พ.ศ. 2446 แมรี คูรี, ปีแอร์ คูรี และ อองรี แบ็กเกอแรล ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ร่วมกัน สำหรับการค้นพบ กัมมัมตภาพรังสี

แมรี คูรี มีชื่อเสียง ปี แอร์ คูรี ซึ่งมีชื่อเสียงอยู่แล้ว ก็ยิงมีชื่อเสียงโด่งดัง ขึ้นอีก

แต่แล้ว ปีแอร์ คูรี ก็ถึงแก่กรรม ด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนน กลางกรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2449 ขณะมีอายุเพียง 47 ปี ส่วน แมรี คูรี ขณะนั้น อายุ 39 ปี

การสูญเสีย ปีแอร์ คูรี ทำให้ แมรี คูรี เสียใจ และหมดกำลังใจ แต่ก็ด้วยคำพูดของ ปีแอร์ ที่เคยพูดกับเธอว่า "เราสองคน มีอย่างหนึ่งที่ ตรงกัน คือ เรารักวิทยาศาสตร์ และจะทุ่มเทชีวิตให้กับ วิทยาศาสตร์ ถ้าเรา ... คนใดคนหนึ่งไม่อยู่ ... อีกคนหนึ่ง ก็ต้องเดินหน้าเพื่อวิทยาศาสตร์ ต่อ"

แมรี คูรี จึงทุ่มเทชีวิตให้กับงานวิทยาศาสตร์ อย่างเต็มที่ต่อ

ปี พ.ศ. 2454 แมรี คูรี ได้รับรางวัลโนเบล เป็นครั้งที่สอง ในสาขาเคมี สำหรับการค้นพบ เรเดียม (radium) และ พอโลเนียม (polonium) ซึ่ง แมรี คูรี ตั้งตามชื่อประเทศบ้านเกิดของเธอ คือ โปแลนด์

ระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2457-2461) แมรี คูรี ลงสนามออกแบบอุปกรณ์และวิธีการใช้ รังสีเอกซ์ ในโรงพยาบาลสนาม

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แมรี คูรี กลับมาทำงานศึกษาวิจัย กัมมันตภาพรังสีต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับ แร่เรเดียม และเริ่มมีอาการป่วย อย่างลึกลับ

วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 หัวใจของแมรี คูรี ก็หยุดเต้น ขณะมีอายุ 67 ปี

สาเหตุการจากไปของ แมรี คูรี ก็คือ กัมมันตภาพรังสี จากเรเดียม ที่เธอจับต้องเป็นประจำนั่นเอง

แม้แต่ถึงทุกวันนี้ สมุดบันทึกการทดลองของ แมรี คูรี ก็ยังมีกัมมันตภาพรังสี จากเรเดียม ติดอยู่

แมรี คูรี จึงมีชื่อเสียงเพราะ กัมมันตภาพรังสี ตายเพราะกัมมันตภาพรังสี และก็ได้ทิ้งมรกด คือ "รังสีบำบัด" หรือ Radiothearty ช่วยชีวิตคนด้วย กัมมันตภาพรังสี

แต่ยิ่งไปกว่านั้น มรดกที่ แมรี คูรี ทิ้งไว้แก่โลกวิทยาศาสตร์ คือ การเปิดโอกาสแก่นักวิทยาศาสตร์หญิง ความทัดเทียมในการศึกษาวิทยาศาสตร์ถึงระดับสูงสุด แก่ผู้หญิง รวมไปถึงตำแหน่งสำคัญในวิชาชีพ และการบริหารองค์กรวิทยาศาสตร์ เพราะเธอเป็น ศาสตราจารย์หญิงคนแรก ของฝรั่งเศส

แล้วก็ยังมี หน่วย คูรี (curi) สัญลักษณ์ Ci, ธาตุคูเรียม (Curium) สัญลักษ์ Cm, ดาวเคราะห์น้อย 7000 คูรี (7000 Curie ) ที่ตั้งตามชื่อของ แมรี คูรี

แถมในปี พ.ศ. 2552 จากการทำโพลของวารสาร New Scientist แมรี คูรี ก็ได้รับการโหวดเป็น "ผู้หญิงสร้างแรงบันดาลใจมากที่สุดในวิทยาศาสตร์"

เท่านี้ก็น่าจะเกินพอแล้ว ที่ผู้เขียนจะต้องมี แมรี คูรี เป็นหนึ่งใน 5 ที่สุดผู้หญิงคนสำคัญของเรา

ห้าที่สุด ของผู้หญิงคนสำคัญที่ผู้เขียนนำมากล่าวถึงวันนี้ ล้วนเป็นผู้หญิงใน เทพปกรณัม, มหากาพย์ และมีอยู่เป็นตัวตนจริงๆ ในอดีต

ท่านผู้อ่านล่ะครับ นึกถึงใครอีกบ้าง ?

แล้วในปัจจุบันล่ะ ?

ท่านผู้อ่าน นึกถึงใครบ้าง ?

แต่สำหรับผู้เขียน มีอยู่คนหนึ่งที่ผู้เขียนขอให้ท่านผู้อ่าน "อย่าได้ลืม" เป็นอันขาด คือ คนใกล้ชิดที่สุดกับท่าน

ใครล่ะ?

คู่ชีวิตของท่าน !