"โคดี กัคโป" และ "ดาร์วิน นูนเญซ" คู่หูมฤตยูที่เปลี่ยนเสียงเย้ยหยันให้กลายเป็น 7 ประตูต่อ 0...

“No Different” การตอบโต้ถึงคำจำกัดความอันน่าหวาดหวั่นของวลีอมตะ “This Is Anfield” ที่ “บิล แชงค์ลีย์” อีกหนึ่งยอดบรมกุนซือผู้วางรากฐานอันแข็งแกร่งให้กับสโมสรนามว่า “ลิเวอร์พูล” เป็นผู้บัญญัติขึ้นเพื่อข่มขวัญคู่แข่งทุกทีมก่อนจะก้าวเท้าลงมาบนพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเดอะค็อปทั้งมวล

“แอนฟิลด์ไม่ได้แตกต่างจากสนามอื่นๆ ผู้เล่นของเราชอบเล่นในบรรยากาศแบบนั้น” เอริก เทน ฮาก ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวก่อนเกมแดงเดือด ณ เดือนมีนาคม 2023

 เอริก เทน ฮาก ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เอริก เทน ฮาก ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

...

แต่แล้ว “เอริก เทน ฮาก” และลูกทีมที่กำลังห้าวหาญจากการเพิ่งคว้าแชมป์คาราบาวคัพ รวมถึงกวาดชัยชนะมาอย่างต่อเนื่อง ก็ถึงคราวต้องหวนระลึกถึงคำว่า “ที่นี่ แอนฟิลด์” นั้น มันทั้ง “ทรงพลานุภาพและมีลำหักลำโค่นมากน้อยเพียงใด?”

“This Is Anfield มันมีไว้เพื่อเตือนสติเด็กๆ ของเราว่า พวกเขากำลังเล่นให้ใคร และมันยังเป็นการย้ำเตือนคู่แข่งด้วยว่า กำลังลงเล่นอยู่กับใคร?” บิล แชงค์ลีย์ อดีตผู้จัดการทีมผู้หยิบยื่นความสำเร็จให้กับลิเวอร์พูล จนกระทั่งกลายเป็นทีมชั้นนำของยุโรปมาจนถึงปัจจุบัน

และ...7 ประตูต่อ 0! คือคำตอบที่สุดแสนจะชัดเจนแล้วว่า “ที่นี่แอนฟิลด์” มีความแตกต่างจากสนามอื่นๆ อย่างไร อีกทั้งมันไม่ใช่เพียงการแพ้แค่ 1 นัด แต่มันยังเป็น “การตั้งคำถามที่ใหญ่กว่า” ถึงทีมที่กำลังมุ่งเบนเข็มไปข้างหน้าเพื่อการ “หวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่” ด้วยว่า “พวกคุณพร้อมและยินดีที่จะทุ่มเทเพื่อมันมากแค่ไหน?”

นั่นเป็นเพราะ...การยอมทิ้งเกมไปง่ายๆ ซึ่งแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านภาษากายของเหล่านักเตะยูไนเต็ดเกือบทุกคนบนผืนหญ้า ณ “ที่นี่แอนฟิลด์” ในวันนั้น มันเป็นการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งเสียเหลือเกินว่า “DNA แห่งความเป็นผู้ชนะ” ซึ่งสำคัญยิ่งสำหรับทีมใดก็ตามที่ต้องการพุ่งชนเป้าหมายแห่งความสำเร็จ ยังไม่ได้ถูกติดตั้งอยู่ใน Mindset ของนักเตะปิศาจแดงแบบ 100% เฉกเช่นที่เหล่า “เรด อาร์มี” ตั้งความหวังเอาไว้อย่างเปี่ยมล้นก่อน “เกมฆาตกรรมหมู่” จะเริ่มต้นขึ้น

และแม้ว่า...แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะต้องผ่านการกรำศึกหนักลงเตะ 21 นัด ในรอบ 75 วัน ก่อนมาเยือนแอนฟิลด์ แต่กุนซือชาวดัตช์ผู้พิสมัยความสมบูรณ์แบบผู้นี้ ก็ไม่ได้มีการหยิบยกเรื่องความเหนื่อยล้ามาเป็นข้ออ้างเพื่อปกป้องลูกทีมให้พ้นจากความอัปยศอดสูในครั้งนี้แต่อย่างใด

“ไม่มีความเป็นมืออาชีพ และเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง” เอริก เทน ฮาก กล่าวถึงลูกทีมของตัวเองที่แสดงอาการยอมจำนน และแทบไม่ขยับเขยื้อนร่างกายใดๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึง “การแข็งขืนต่อความปราชัย” โดยเฉพาะช่วง 15 นาทีสุดท้ายในเกมแห่งความอัปยศนี้!

...

และมันคือ...“เกมอันแสนอัปยศและน่าขายหน้า” ที่ทำให้สถิติ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังไม่เคยเอาชนะที่แอนฟิลด์นับตั้งแต่ปี 2016 และยิงได้เพียง 1 ประตู จาก 8 นัดหลังสุด ต้องยืดยาวออกไป”

คู่หู “Mr.OffTarget” และ “Mr.To The Moon” ผู้ทำลายล้างยูไนเต็ดจนสิ้นซาก :

“ไอ้เบี้ยวและไอ้โด่ง” คำหยอกล้อจากปากเด็กผีถึง “โคดี กัคโป” และ “ดาร์วิน นูนเญซ” 2 กองหน้าลิเวอร์พูลผู้แบกค่าตัวมหาศาล แต่ลงเล่นทีไรก็ยังไม่เปล่งประกาย แถมเวลายิงประตูทีไรก็ทำให้เพลียใจเป็นพักๆ กลายเป็น “สองมฤตยู” ที่ฉีกแผงกองหลังและนายด่านที่เพิ่งได้รับสมญานาม “วากาบายาชิ แห่ง โอลด์ แทรฟฟอร์ด” และ “นายทวารตัว Edit” อย่าง "ดาบิด เด เคอา" ให้แหลกเละชนิดไม่มีชิ้นดี!

...

การถ่างตัวเองไปทางด้านข้างเพื่อสลับให้ “ดาร์วิน นูนเญซ” วิ่งเข้าสู่กรอบเขตโทษ จากนั้นวิ่งไปรับบอลในพื้นที่ว่าง เพื่อรอรับการจ่ายบอลของแบ็กซ้ายพลังม้า “แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน” ก่อนจะเลี้ยงหักหลบ “ราฟาเอล วาราน” แล้วยิงเสียบมุมเข้าที่เสาสองอย่างสวยงาม คือ สัญญาณที่ดีของ “การปรับตัว” ให้เข้ากับเพื่อนร่วมทีมที่เดอะค็อปรอคอย ส่วนประตูที่ 2 ที่ชิพบอลอย่างเหนือชั้นผ่าน “วากาบายาชิเวอร์ชันสเปน” คือ ทั้งความเหนือชั้น ใจเย็น และบ่งชี้ถึงจังหวะการจบสกอร์อันเฉียบขาด แม้จะอยู่ในมุมที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถทำสกอร์ได้ก็ตาม นอกจากนี้การเล่นตามแท็กติกเกมรับ จากการถูกมอบหมายให้วิ่งเข้าเพรซซิงเพื่อกดดันความพยายามในการทำเกมของ “คาเซมิโร” หัวใจในแดนกลางของยูไนเต็ดยุคนี้ “โคดี กัคโป” ยังทำได้อย่างขยันขันแข็งอีกด้วย

และทั้งหมดนี้...อาจเป็นคำตอบที่ว่า ทำไม “โรแบร์โต เฟอร์มิโน” กองหน้า False Nine ที่ “เยอร์เกน คลอปป์” แสนชื่นชม จากการเล่นด้วยเทคนิคอันแพรวพราวและจ่ายบอลได้อย่างชาญฉลาดราวกับขงเบ้งชี้พัดขนนกบัญชาการรบ และยังเป็นคู่หูที่ยอดเยี่ยมของ “โมฮาเหม็ด ซาลาห์” จึงต้องอำลาทีมหลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้

...

ด้าน “ดาร์วิน นูนเญซ” แม้เจ้าหนูคนนี้ยังเล่นดูดิบๆ และมักยิงทิ้งยิงขว้างเป็นประจำ รวมถึงตัดสินใจเรื่องการจ่ายบอลให้กับเพื่อนในจังหวะได้เปรียบ “ยังคิดได้ช้าและไม่เฉียบคมมากนัก” หากแต่เรื่องหัวจิตหัวใจนักสู้ต้องยอมรับว่า หมอนี่ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน และจุดเด่นที่ต้องไม่ลืมคือ กองหน้าร่างยักษ์รายนี้สามารถฉีกตัวไปเล่นริมเส้นและเลี้ยงจี้เข้าหาคู่แข่งได้ราวกับปีกความเร็วสูง อีกทั้งร่างกายที่สูงกำยำยังสามารถตอบโจทย์การโจมตีทางอากาศได้เป็นอย่างดีด้วย ซึ่งประเด็นนี้ย่อมถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญให้กับลิเวอร์พูลในยามที่ทีมต้องโจมตีทางอากาศด้วย ซึ่งในนัดนี้การสร้างความปั่นป่วนคู่ต่อสู้ด้วยอัตราความเร็วเร่งและการโจมตีทางอากาศกลายเป็นอาวุธสำคัญในการทำลายล้างยูไนเต็ดอย่างเห็นได้ชัด

ด้าน “โมฮาเหม็ด ซาลาห์” เรายังจำเป็นต้องสงสัยในความสามารถของราชันแห่งอียิปต์ผู้นี้อีกหรือ? เพราะเพียงแค่จังหวะโยกหลบ “ลิซานโดร มาร์ติเนซ” จนหลังหักล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า และในขณะที่เซ็นเตอร์อาร์เจนตินากำลังพยายามตั้งหลัก เพียงสิ้ววินาทีจากนั้น “ซาลาห์” ก็จัดการจ่ายบอล Killer Pass ให้ "กัคโป" หลุดเข้าไปยิงอย่างเหนือชั้น ก็คงเพียงพอสำหรับคำว่า “World Class” แล้ว

และนี่คือ...ยุคใหม่ของสามประสาน “ซาลาห์, กัคโป, นูนเญซ” ที่จะเข้ามาแทนที่สามประสานเดิม “ซาลาห์, เฟอร์มิโน, มาเน” เพื่อพาลิเวอร์พูลไปสู่การเปลี่ยนผ่านและการผจญภัยครั้งใหม่ภายใต้ผู้กุมบังเหียนเดิมอย่าง “เยอร์เกน คลอปป์” ที่เอาล่ะแม้ในฤดูกาลนี้ “การเปลี่ยนผ่านที่ว่านี้” อาจเต็มไปด้วยความขรุขระและไม่ราบรื่นจนราวกับเหมือนสิ้นหวังไปบ้าง หากแต่การบดขยี้และทำลายล้าง “คู่อริ” อย่างยับเยินจนไม่เหลือชิ้นดีในนัดนี้ อาจเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ที่สามารถรวมใจทุกคนในทีมไปสู่แรงใจที่จะต่อสู้อย่างสุดกำลังในทุกๆนัดที่เหลืออยู่ เพื่อที่อย่างน้อยที่สุดอาจจะได้รับรางวัลปลอบขวัญเป็น พื้นที่แชมเปียนส์ลีกในบั้นปลายก็เป็นได้.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง