“พวกเรา BTS รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญไปยังทำเนียบขาวเพื่อหารือในประเด็นสำคัญ เรื่องการต่อต้านอาชญากรรมจากความเกลียดชังต่อชาวเอเชียรวมถึงกลุ่มที่มีความหลากหลายต่างๆ” คิม นัมจุน (Kim Nam-Joon) หรือ RM ลีดเดอร์วง BTS บอยแบนด์ที่ร้อนแรงที่สุดในโลกเวลานี้ กล่าวหลังเสร็จสิ้นการเข้าพบกับ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ

ว่าแต่...คำถามคือ เพราะเหตุใด ผู้นำโลกเสรีจึงต้องมาบรรจบกับ POPSTAR ในเวลานี้กันด้วย? งั้น “เรา” ไปดูข้อมูลเหล่านี้กันก่อน...

สถิติการก่ออาชญากรรมที่มีสาเหตุจากความเกลียดชังต่อชาวเอเชียในสหรัฐฯ :

จากรายงานของ องค์กรยุติความเกลียดชังต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก (Stop AAPI Hate) หรือ SAH ระบุว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 19 มี.ค. 2020 ถึงวันที่ 30 ก.ย. 2021 มีรายงานการก่ออาชญากรรมที่มีสาเหตุจากความเกลียดชังด้านเชื้อชาติต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก (Asian American and Pacific Islander) หรือ AAPI ในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมกันถึง 10,370 เหตุการณ์ (ปี 2020 เกิดขึ้น 4,599 เหตุการณ์ หรือ 44.4% ขณะที่ปี 2021 เกิดขึ้น 5,771 เหตุการณ์ หรือ 55.7%)

...

นอกจากนี้ ผลสำรวจดังกล่าวยังมีการประเมินว่าชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียมากถึงเกือบ 1 ใน 5 หรือ 21.2% และชาวอเมริกันเชื้อสายหมู่เกาะแปซิฟิกมากถึง 20% เคยมีประสบการณ์ถูกแสดงความเกลียดชังเมื่อปีที่ผ่านมา

โดยการถูกแสดงความเกลียดชังที่ ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก ต้องประสบพบเจอมากที่สุด ตามรายงานของ SAH คือ...

1. การล่วงละเมิดทางวาจา 62.9%
2. การถูกแสดงความรังเกียจ 16.3%
3.ถูก ทำร้ายร่างกาย 16.1%
4. การถูกล่วงละเมิดในโลกออนไลน์ 8.6%
5. การจงใจไอ จาม และถุยน้ำลาย เพื่อแสดงการดูถูก 8.2%

ขณะที่ การละเมิดสิทธิพลเมือง เช่น การเลือกปฏิบัติในสถานที่ทำงาน การปฏิเสธการให้บริการ การถูกกีดกันจากระบบขนส่งสาธารณะ และการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับที่พักอาศัย รวมกันคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 11.3%

สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ถูกแสดงความเกลียดชังมากที่สุด คือ 1. เชื้อสายจีน 42.7% 2. เชื้อสายเกาหลี 16.1% 3. เชื้อสายฟิลิปปินส์ 9% 4. เชื้อสายญี่ปุ่น 8.2% 5. เชื้อสายเวียดนาม 7.8%

ขณะที่ รายงานการก่ออาชญากรรมต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียในสหรัฐอเมริกา ของศูนย์ศึกษาเกี่ยวกับความเกลียดชังและแนวคิดสุดโต่ง (Center for the study of Hate and Extremism) ของ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซึ่งรวบรวมตัวเลขคดีอาชญากรรมที่มีสาเหตุจากความเกลียดชังต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียใน 16 เมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่นในสหรัฐฯ พบว่า...

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2021 การก่ออาชญากรรมที่มีสาเหตุจากความเกลียดชังต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย พุ่งสูงขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2020 ถึง 189% (ไตรมาสแรกปี 2020 รวม 38 คดี ขณะที่ไตรมาสแรกปี 2021 รวม 110 คดี) โดยนิวยอร์ก คือ เมืองที่มีสัดส่วนการก่ออาชญากรรมในลักษณะดังกล่าวมากที่สุด คือ เพิ่มขึ้นถึง 262% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี (ไตรมาสแรกปี 2020 รวม 13 คดี ขณะที่ไตรมาสแรกปี 2021 รวม 47 คดี)

ด้านรายงานสถิติการก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชัง ของ สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือ FBI ในปี 2020 ซึ่งมีการเปิดเผยออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2021 ระบุว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ตกเป็นเป้าหมายของการก่ออาชญากรรมในลักษณะดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 77% (ปี 2019 รวม 158 คดี ปี 2020 รวม 279 คดี)

บทบาทของ BTS ในการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ผ่าน #StopAsianHate #StopAAPIHate :

“ไม่ผิดที่จะแตกต่าง ความเท่าเทียมจะเริ่มต้นเมื่อเราเปิดใจและยอมรับความแตกต่างของกันและกัน” มินยุนกิ (Min Yoon-GI) หรือ SUGA สมาชิกวง BTS : สถานที่ทำเนียบขาว

...

เมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา BTS แสดงบทบาทอย่างชัดเจนที่สุดในการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติโดยเฉพาะชาวเอเชีย ผ่าน #StopAsianHate #StopAAPIHate หลังเกิดซีรีส์อาชญากรรมจนทำให้มีชาวเอเชียได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์ผู้หญิงเอเชียถึง 6 คน ถูกสังหารในเหตุกราดยิงที่เมืองแอตแลนตา ต่อด้วยเหตุการณ์ชายชาวเอเชียวัย 84 ปี ที่ถูกผลักจนล้มลงกับพื้นจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา และอีกเหตุการณ์ที่ชายวัย 91 ปีถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงในย่านไชนาทาวน์ในเมืองโอ๊คแลนด์ รวมถึงเหตุการณ์ที่ชายวัย 61 ปี ถูกฟันเข้าที่หน้าด้วยมีดคัตเตอร์บนรถไฟใต้ดินที่นครนิวยอร์ก

...

โดยสิ่งที่ BTS แสดงออกมาคือ การประกาศต่อชาวโลกผ่านทวิตภพว่า...

“เราขอยืนหยัดต่อต้านการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ และเราขอประณามความุรนแรง คุณ ผม และ เรา ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับความเคารพ และ เรา จะยืนหยัดไปด้วยกัน” #StopAsianHate #StopAAPIHate

นอกจากนี้ BTS ยังแชร์ประสบการณ์การถูก “เลือกปฏิบัติ” ในฐานะคนเอเชีย ด้วยว่า...

“พวกเราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เรารู้สึกเศร้าและโกรธ เราหวนระลึกถึงช่วงเวลาที่พวกเราเคยต้องเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติในฐานะชาวเอเชีย เราต้องทนต่อคำสบถที่ไร้ซึ่งเหตุผลและถูกเยาะเย้ยในรูปลักษณ์ของเรา เราถูกถามเสียด้วยซ้ำไปว่า ทำไมคนเอเชียจึงพูดภาษาอังกฤษ ประสบการณ์เหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้เรารู้สึกได้ถึงความไร้ซึ่งอำนาจรวมถึงความนับถือในตัวเอง หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมิอาจพรากตัวตนของเราในฐานะชาวเอเชียไปได้อย่างแน่นอน”

นอกจากนี้ BTS ยังได้ย้ำจุดยืนในเรื่องดังกล่าว ในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสารดนตรีอันทรงอิทธิพลอย่าง Rolling Stone เอาไว้ด้วยว่า..

...

“วิธีที่เราคิดคือทุกสิ่งที่เราทำ รวมถึงการดำรงอยู่ของเรา อาจเป็นส่วนหนึ่งของความหวังที่ว่าดนตรีจะสามารถต่อสู้กับความเกลียดชังและทัศนคติเชิงลบต่อชาวต่างชาติในสหรัฐฯ ได้ เพราะความจริงที่ว่า พวกเราสามารถประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกาได้ ย่อมมีความหมายในตัวของมันเอง”

การตอบรับเสียงเรียกร้องของ BTS จาก ทำเนียบขาว :

ในระหว่างการหารือกับ BTS ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวกับเหล่าไอดอลผู้ร้อนแรงเหล่านี้ว่า...

“ผู้คนล้วนแคร์ในสิ่งที่พวกคุณพูดออกมาอย่างมาก และสิ่งที่พวกคุณได้ทำลงไปนั้นเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่ความสามารถอันยอดเยี่ยม แต่เป็น Message ที่พวกคุณกำลังสื่อสารออกไป”

และไม่เพียงแต่จะกล่าวชื่นชม สิ่งที่ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้ลงมือทำเพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นในการต่อสู้กับ “กระแสการต่อต้านชาวเอเชียในสหรัฐฯ ที่กำลังก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การเพิ่งลงนามในร่างกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมจากไวรัสโควิด-19 (COVID-19 Hate Crimes Act) ที่มีสาระสำคัญ คือ การเก็บข้อมูลและเปิดทางให้กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ มีอำนาจมากขึ้นในการเร่งรัดดำเนินคดีผู้ที่ก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอคติทางเชื้อชาติ ศาสนา รสนิยมทางเพศ หรือเชื้อชาติ ไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้เองด้วย

กระแสความเกลียดชังชาวเอเชียในสหรัฐฯ เริ่มมาจากอะไร :

จากรายงานของ องค์กรยุติความเกลียดชังต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก พบว่าหนึ่งแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้เกิด กระแสความเกลียดชังชาวเอเชียในสหรัฐฯ คือ โรคโควิด-19 เนื่องจากคนส่วนหนึ่งเชื่อว่าต้นตอการแพร่ระบาดเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย โดยสิ่งที่สามารถยืนยันในเรื่องนี้ได้คือ เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2020 ร้านอาหารแห่งหนึ่งในนิวเจอร์ซีถูกทำลาย พร้อมมีการพ่นข้อความว่า “Coronavirus” และ “COVID-19” หรือ ในปี 2021 เกิดเหตุการณ์ทหารอเมริกันเชื้อสายเกาหลีถูกชายสองคนรุมทำร้ายร่างกาย พร้อมตะโกนใส่เขาว่า “ไอ้ไวรัสจีน”

ทั้งๆ ที่ เมื่อช่วง 30 ปี ก่อนเกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 รายงานที่ระบุถึงการก่ออาชญากรรมรุนแรงต่อชาวเอเชียมีรวมกันเพียง 210 ครั้ง หรือ เฉลี่ยเพียง 8.1 ครั้งต่อปี แต่ในช่วงระหว่างปี 2020-2021 ค่าเฉลี่ยที่ว่านี้กลับสูงถึง 81.5 ครั้งต่อปี หรือเพิ่มขึ้นถึง 11 เท่าจากค่าเฉลี่ยเดิม

นอกจากนี้ ก่อนปี 2020 มีชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการก่ออาชญากรรมเพราะความเกลียดชังอยู่ที่เพียง 8 คนต่อปี แต่ในช่วงระหว่างปี 2020-2021 ตัวเลขของเหยื่อที่ถูกทำร้ายกลับพุ่งสูงถึง 49 คน หรือเฉลี่ย 25 คนต่อปี อีกด้วย

ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ จอห์น หยาง (John Yang) ประธานและกรรมการบริหาร Asian Americans Advancing Justice หรือ AAJC ซึ่งเป็นองค์กรที่ต่อสู้เพื่อสิทธิสำหรับชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ที่มองว่าคลื่นการต่อต้านชาวเอเชียในสหรัฐฯ ที่ลุกลามขึ้นนี้ เป็นเพราะการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 เช่นกัน เพราะนอกจากนี้ การแพร่ระบาดโควิด-19 จะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับปัญหาความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจแล้ว อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ (โดนัลด์ ทรัมป์) ยังมักชอบใช้วาทศิลป์เรียกโรคระบาดโควิด-19 ว่า ไวรัสจีน จนกระทั่งทำให้ชาวเอเชียกลายเป็นความแปลกแยก รวมถึงยังทำให้เกิดความหวาดกลัวในชุมชนต่างๆ ของชาวอเมริกันมากขึ้นไปกว่าเดิมอีกด้วย

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

กราฟิก : Chonticha Pinijrob

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :