“คุณ” จินตนาการออกไหมว่า “เงินสดๆ” มูลค่า 68,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 19 ม.ค.22) มันมากมายมหาศาลขนาดไหน?
โดยเฉพาะหากเงินจำนวนนี้ ถูกนำมากองอยู่ตรงหน้าของ “คุณ”
เงินสดกองมโหฬารนี้ คือ จำนวนเงินที่ “บริษัท ไมโครซอฟท์” (Microsoft) นำมาวางกองวางเรียงตรงหน้าให้กับ “บริษัท แอคติวิชันบลิซซาร์ด” (Activision Blizzard) ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมวิดีโอเกม เพื่อเข้าซื้อกิจการ!
และนี่คือ “Bigdeal” ที่มีมูลค่ามหาศาลมากที่สุดใน “อุตสาหกรรมวิดีโอเกม!”
อะไรคือเหตุผลที่ “ยักษ์หลับ” อย่าง “ไมโครซอฟท์” ที่ในระยะหลังๆ มักทำอะไรแทบไม่เคยประสบความสำเร็จ และกำลังถูก “4 Bigtech” ในโลกยุคปัจจุบัน ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ ยอมทุ่มเงินสดก้อนมหาศาลให้กับบริษัทวิดีโอเกมเพียงบริษัทเดียว
...
และอะไรคือก้าวต่อไปหลังการ “กลืนกิน” ที่ทำให้ “เจ้าพ่อ Windows” ขยับสเตตัสกลายเป็นยักษ์ใหญ่ลำดับที่ 3 ในอุตสาหกรรมวิดีโอเกม หลัง “Bigdeal” ในครั้งนี้ทันที!
แต่สิ่งที่ “คุณ” ควรจดจำไว้ให้มั่น ก่อนที่เลื่อนสายตาไปยังบรรทัดถัดไปและถัดไปคือ...รายงานของ บริษัทด้านการตลาดชื่อดังของโลก Modor intelligence ระบุว่า...
ตลาดวิดีโอเกมทั่วโลกปี 2021 ที่ผ่านมามีมูลค่ารวมกันสูงถึงประมาณ 173,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเบื้องต้นคาดว่า ภายในปี 2027 มูลค่าของตลาดวิดีโอเกมทั่วโลกจะพุ่งขึ้นไปสูงถึง 314,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 9.64%!
OK อึ้งกันพอแล้วนะ... “เรา” ไปกันต่อได้...
ทำไมต้องเป็น แอคติวิชันบลิซซาร์ด?
จุดแข็งและอิทธิพลในตลาดวิดีโอเกม :
บริษัท แอคติวิชันบลิซซาร์ด (Activision Blizzard)
Market cap : 5,093 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ก่อนหน้าถูกเข้าซื้อกิจการ)
รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ประจำปี 2021 (สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.21)
บริษัทมีรายได้ 2,070 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่ารายได้ 1,950 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2020 โดยในจำนวนนี้เป็นรายได้จากช่องทางดิจิทัลออนไลน์เพียงอย่างเดียวถึง 1,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 89% ของรายได้ทั้งหมด โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษี (Operating Margin) 40%
กำไรต่อหุ้น 82 เซนต์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลข 78 เซนต์ เมื่อเทียบกันแบบปีต่อปี
กำไรสุทธิ 639 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าตัวเลข 604 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกันแบบปีต่อปี
โดยการดำเนินธุรกิจของ แอคติวิชันบลิซซาร์ด แยกย่อยออกเป็น 3 บริษัทในเครือประกอบด้วย
1.แอคติวิชัน พับลิชชิง (Activision Publishing) :
ไตรมาสล่าสุด ทำรายได้ 641 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายได้หลักมาจาก สารพัดแฟรนไชส์เกม Call of Duty ในทุกแพลตฟอร์ม
...
2.บลิซซาร์ด เอนเตอร์เทนเมนต์ (Blizzard Entertainment) :
ไตรมาสล่าสุด ทำรายได้ 493 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายได้หลักมาจาก แฟรนไชส์เกม World of Warcraft, Overwatch และกิจกรรมการตลาดที่เกี่ยวข้องกับกีฬา E-sports ที่เรียกว่า Overwatch League
3.คิงส์ ดิจิทัล เอนเตอร์เทนเมนต์ (King Digital Entertainment) :
ไตรมาสล่าสุด ทำรายได้ 652 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายได้หลักมาจาก เกม Candy Crush ที่มาในรูปการเติมเงิน และการขายค่าโฆษณาในเกม
Candy Crush : เกมเผาเวลาและดูดเงินสุดฮิตที่มือถือแทบทุกเครื่องในโลกนี้ต้องมี และเป็นเกมที่ทำกำไรสูงสุดให้กับ Activision Blizzard หลังใช้เงินมากกว่า 5,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อกิจการบริษัท King มาตั้งแต่ปี 2016
Call of Duty : อภิมหาเกม FPS แห่งศตวรรษ ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ปั๊มเงินออกมาได้ทุกๆปี อย่างต่อเนื่องและยาวนานตั้งแต่ปี 2005 (ปัจจุบันปาเข้าไป 18 ภาคเข้าให้แล้ว) รวมถึงได้รุกเข้าไปทำเงินในทุกๆ แฟลตฟอร์ม แม้กระทั่ง “สมาร์ทโฟน” แล้ว
...
Overwatch : อีกหนึ่งเกม FPS ที่เรียกเสียงชื่นชมจากเกมเมอร์ได้อย่างมากมายถึงสิ่งที่เรียกว่า “ความสนุกที่มาพร้อมครีเอทีฟ”
Warcraft และ Starcraft : เกม RTS อมตะที่แฟนๆ เรียกร้องและถามหาว่า เมื่อไหร่จะมีภาคใหม่ที่เป็นภาคใหม่จริงๆ ออกมาสักที และกรุณาอย่าให้เป็นเกมมือถือ
Diablo : สุดยอดตำนานเกม Action-RPG ที่มีอายุยืนยาวเกือบ 20 ปี ที่จนถึงปัจจุบันยังคงมีสาวกติดตามรอคอยเกมนี้จำนวนมาก
ลิสต์รายชื่อเกมเพียงเท่านี้...น่าจะเพียงพอสำหรับการ “ดูดเงิน” จากกระเป๋า “คุณ” กันแล้วมั้ง!
จุดอ่อน ของ แอคติวิชันบลิซซาร์ด?
มรสุมเรื่องอื้อฉาวภายในองค์กร :
ราคาหุ้นของ “แอคติวิชันบลิซซาร์ด” ปรับตัวลดลงถึง 23% ในช่วงปี 2021 ที่ผ่านมา หลังต้องเผชิญ “ปัญหาเรื่องอื้อฉาวภายใน” มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ทั้งจากปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ และความไม่เท่าเทียมทางเพศภายในองค์กร (พนักงานหญิงถูกล่วงละเมิดทั้งด้วยวาจาและกายภาพอย่างต่อเนื่อง, ค่าจ้างพนักงานชายสูงกว่าพนักงานหญิงแม้จะอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน) จนกระทั่งนำไปสู่การสอบสวนและฟ้องร้องโดยรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงการเคลื่อนไหวของพนักงานมากกว่า 100 คน ที่เรียกร้องให้ “บ็อบบี โคทิค” (Bobby Kotick) ลาออกจากตำแหน่ง CEO ที่นั่งเก้าอี้ตัวนี้มานานร่วม 30 ปี โทษฐาน “หมักหมมปัญหา” และหนำซ้ำยังพยายาม “ซุกปัญหา” ไว้ใต้พรม โดยที่ “ไม่” แม้แต่จะพยายามหาทางแก้ไขปัญหา
...
ซึ่งประเด็นนี้ในเวลาต่อมา...ถึงกับทำให้ผู้ร่วมก่อตั้งและพนักงานระดับหัวกะทิของบริษัทมากกว่า 40 คน ถูก "ไล่ออก" และ "ให้ออก" รวมถึงถูกจนลงโทษทางวินัยอีกจำนวนมาก กระทั่งทำให้บริษัทประสบปัญหา “วิกฤติสมองไหล”
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องไม่สามารถนำเกมแม่เหล็กระดับ AAA ของบริษัท อย่าง Diablo IV และ Overwatch 2 ที่ชาวโลกเฝ้ารอคอยออกวางจำหน่ายได้ตามกำหนดเวลา และสุดท้ายต้องชะลอการเปิดตัวออกไป รวมถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในด้านลบของแฟรนไชส์ลูกรักภาคล่าสุด อย่าง Call of Duty : Vanguard จนกระทั่งมียอดขายเปิดตัวที่ต่ำที่สุดในรอบ 14 ปี แต่ถึงแม้จะถูกถล่มหนัก แต่เกมนี้จะยังคงติดอันดับเกมขายดีประจำปี 2021 ได้อยู่ดี...(คงอารมณ์ประมาณเกมเมอร์เล่นไปด่าไปโทษฐานที่ยังรักกัน)
เอาล่ะ...เริ่มจะยาวเกินไปแล้ว เช่นนั้นใน EP.1 ที่ “เรา” ได้พา “คุณ” ไปรู้จักกับ แอคติวิชันบลิซซาร์ด จบไว้แค่นี้ก่อน
ใน EP ต่อๆ ไป “เรา” จะเข้าสู่โหมดเจาะเข้าถึงคำถามต่างๆ นานา เกี่ยวบิ๊กดีลในครั้งนี้ ดั่งที่ “เรา” ได้จั่วไว้ในบรรทัดแรกสุดโน่น รวมถึง คำถามที่ใครๆ หลายคนอยากจะรู้ว่า เพลย์สเตชัน 5 ที่ใครหลายคนยังพยายามควานหา แต่หาเท่าไรก็ยังหาไม่เจอนั้น
ที่สุดแล้ว...หรือ “เรา” จะเอาเงินไปซื้อ xbox series x ดีกว่ากันนะ?
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ