"มีผู้คนจำนวนมากเกินไปที่ยังไม่ได้แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แม้จะมีการโน้มน้าวใจมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แต่เรายังคงไม่ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวใจให้ผู้คนจำนวนมาก ออกมารับการฉีดวัคซีนได้ ทั้งๆ ที่การเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนเป็นเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้"

อเล็กซานเดอร์ ชาลเลนแบร์ก (Alexander Schallenberg) นายกรัฐมนตรีออสเตรีย กล่าวถึงเหตุผลที่จำใจต้องประกาศ Lockdown เต็มรูปแบบครั้งที่ 4 ซึ่งอาจต้องกินระยะเวลายาวนานถึง 3 สัปดาห์ ที่ได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. 64

โดย "ออสเตรีย" ถือเป็นชาติแรกในทวีปยุโรปที่เผชิญหน้าการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ จนต้องประกาศ Lockdown เต็มรูปแบบอีกครั้ง

*หมายเหตุ: มาตรการ Lockdown เต็มรูปแบบครั้งใหม่ของออสเตรียนี้ แม้จะบังคับใช้อย่างเข้มข้นกับผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเป็นหลัก แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นให้ในกรณีมีผลตรวจ PCR ที่ยืนยันว่าไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 มาแสดงเป็นหลักฐาน ซึ่งในกรณีนี้รวมถึงผู้ที่ฉีดวัคซีน 1 เข็มด้วย ขณะเดียวกันมาตรการ Lockdown ครั้งนี้จะสิ้นสุดลงกับเพียงเฉพาะผู้ที่ได้รับวัคซีนครบสูตรในวันที่ 12 ธ.ค. 64 แต่จะมีผลบังคับใช้ต่อไปกับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน โดยรัฐบาลออสเตรียจะมีการประเมินผลของการ Lockdown กับจำนวนผู้ติดเชื้อในทุกๆ 10 วัน

...

หากแต่สิ่งที่รัฐบาลออสเตรียกำลังจะทำ "เพิ่มเติม" นอกเหนือไปจากการประกาศ Lockdown เพื่อสกัดการแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นในฤดูหนาวที่มาถึงนี้ กำลังกลายเป็นสิ่งที่ถูกจับตามอง นั่นเป็นเพราะจะมี "การใช้กฎหมายบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องฉีดวัคซีน" เป็นชาติแรกของโลกตะวันตก

สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศออสเตรีย?

19 พ.ย. 64 มีผู้ติดเชื้อ 15,809 คน เสียชีวิต 48 ศพ
20 พ.ย. 64 มีผู้ติดเชื้อ 15,297 คน เสียชีวิต 42 ศพ
21 พ.ย. 64 มีผู้ติดเชื้อ 14,042 คน เสียชีวิต 22 ศพ
22 พ.ย. 64 มีผู้ติดเชื้อ 13,806 คน เสียชีวิต 27 ศพ
23 พ.ย. 64 มีผู้ติดเชื้อ 9,513 คน เสียชีวิต 72 ศพ
24 พ.ย. 64 มีผู้ติดเชื้อ 15,365 คน เสียชีวิต 66 ศพ

จำนวนผู้ป่วยรวม ณ ปัจจุบัน 151,943 คน จำนวนเข้ารับการรักษาพยาบาล 151,365 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยหนัก 578 คน (สิ้นสุดวันที่ 24 พ.ย. 64)

อัตราการฉีดวัคซีนของออสเตรีย?

ข้อมูลล่าสุดของ กระทรวงสาธารณสุขออสเตรีย ระบุว่า...

มีชาวออสเตรียได้รับวัคซีนรวม 69.03% โดยแยกเป็น จำนวนผู้ได้รับวัคซีนครบสูตร 64.58% จำนวนผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม 4.45% จากจำนวนการฉีดวัคซีนรวม 13,031,440 โดส โดยแบ่งเป็นเข็มแรก 6,243,100 โดส เข็มสอง 5,506,850 โดส และเข็มสาม 1,281,490 โดส (สิ้นสุดวันที่ 23 พ.ย. 64) ซึ่งถือเป็นอัตราการฉีดที่ต่ำที่สุดในชาติยุโรปตะวันตก

*หมายเหตุ: ประเทศไทย จำนวนประชากรที่ได้รับวัคซีน 66.78% โดยแยกเป็นจำนวนผู้ได้รับวัคซีนครบสูตร 56.04% และจำนวนผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม 10.74% (สิ้นสุดวันที่ 23 พ.ย. 64)

...

โดยหากเทียบเป็นสัดส่วนต่อประชากร 100 คน (ออสเตรียมีจำนวนประชากรรวม 9.04 ล้านคน) จะมีชาวออสเตรียที่ได้รับการปกป้องโควิด-19 ด้วยการฉีดวัคซีนแล้ว 66 คน ส่วนอีก 23 คน ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และอีก 11 คน คือ ประชากรที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ฉีดวัคซีน เนื่องจากมีอายุตั้งแต่ 0-11 ปี (ข้อมูลสิ้นสุดวันที่ 23 พ.ย. 64)

และจำนวน 23 คน ในสัดส่วนประชากร 100 คนนี้เองที่ทำให้ "เกิดปัญหา" เนื่องจากตามข้อมูลของ กระทรวงสาธารณสุขออสเตรีย ระบุเอาไว้ว่า...จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการป่วย มากถึง 80% คือ ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

*หมายเหตุ: วัคซีนที่ออสเตรียอนุมัติให้มีการใช้ในกรณีฉุกเฉิน ประกอบด้วย 1. จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน, 2. โมเดอร์นา, 3. แอสตราเซเนกา, 4. ไฟเซอร์ (ข้อมูลสิ้นสุดวันที่ 23 พ.ย. 64)

กฎหมายบังคับประชาชนฉีดวัคซีน?

สำหรับกฎหมายบังคับฉีดวัคซีนของออสเตรียนั้น เบื้องต้นมีรายงานว่าจะเริ่มต้นจากเบาไปหาหนัก ด้วยการส่งหนังสือนัดหมายให้ "ประชาชนมากกว่า 2 ล้านคน" ที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบสูตร ไปฉีดวัคซีนให้ครบ แต่หากคำเชื้อเชิญนี้ยังคงถูก "ปฏิเสธ" ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 65 เป็นต้นไป ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูก "ปรับ" เป็นเงินตั้งแต่ 500 ยูโร (ประมาณ 18,617 บาท คิดตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 24 พ.ย. 64) หรือสูงสุดถึง 3,600 ยูโร (ประมาณ 134,870 บาท คิดตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 24 พ.ย. 64) และหากไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ อาจต้องเข้ารับโทษจำคุกแทนด้วย

...

ทำไมต้องมีการบังคับให้ชาวออสเตรียฉีดวัคซีน?

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของออสเตรียวิเคราะห์ว่า ปัจจุบันชาวออสเตรียส่วนใหญ่ที่ได้รับวัคซีนครบสูตรนั้น ได้รับเข็มสุดท้ายมาตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้แม้ตัวเลขผู้ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ผู้ป่วยหนัก หรือผู้เสียชีวิต อาจจะลดลงในช่วงเกือบ 6 เดือนก่อนหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ผู้คนที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบสูตร ซึ่งส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว และไม่สามารถสร้างอันตรายให้กับคนอื่นๆ ได้นั้น แต่ในความเป็นจริงคือ คนเหล่านั้นยังคงสามารถแพร่เชื้อได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ "ลูกหลานโมสาร์ท" ส่วนหนึ่งเกิดการ "ต่อต้าน" การเข้ารับการฉีดวัคซีนก็คือ รัฐบาลออสเตรียยังคงล้มเหลวการแก้ไขปัญหา "Fake News วัคซีน" ที่ระบาดอย่างหนักในโลกโซเชียลมีเดียของออสเตรียมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการสร้างเรื่องโกหกที่ว่า...ความเสี่ยงของวัคซีนอาจทำให้สตรีมีบุตรได้ยาก ที่จนถึงทุกวันนี้ยังคงถูกพบเห็นได้ทั่วไปในโลกออนไลน์

...

ทั้งๆ ที่ "Fake News วัคซีน" เหล่านั้นถูกพบว่ามีความเชื่อมโยงกับนักการเมืองกลุ่มขวาจัดที่ครองคะแนนเสียงข้างมากเป็นอันดับที่ 3 ในสภาออสเตรีย และยังสอดคล้องกับกลุ่มก้อนหัวรุนแรงที่ออกมาประท้วงต่อต้านวัคซีนตามท้องถนนของกรุงเวียนนาในวันที่มีการประกาศ Lockdown ครั้งล่าสุดอีกด้วย

*หมายเหตุ: หลังพบการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ช่วงฤดูหนาวในทวีปยุโรป องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ออกมาเตือนว่า หากหลายๆ ประเทศในทวีปยุโรปยังคงไม่มีการบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาด เช่น การฉีดวัคซีน การสวมหน้ากาก รวมถึงการใช้พาสปอร์ตวัคซีน อาจทำให้ผู้เสียชีวิตมากถึง 500,000 คน ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

ปัญหาเรื่องกฎหมายก่อนการบังคับให้พลเมืองฉีดวัคซีน?

นอกจาก รัฐบาลออสเตรีย จะต้องศึกษากรอบของกฎหมายฉบับนี้เพื่อไม่ให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ รวมถึงต้องเปิดช่องให้มี "ข้อยกเว้น" สำหรับผู้มีเหตุจำเป็นจากเหตุผลทางการแพทย์แล้ว ประเด็นสำคัญอีกเรื่อง คือ ต้องเฟ้นหาการสนับสนุนจากกลุ่มก้อนทางการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะซีกฝ่ายค้าน คือ พรรค The New Austria and Liberal Forum หรือ NEOs เพื่อให้สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ ขณะเดียวกันการเดินหน้าในประเด็นนี้ย่อมต้องทำให้เกิดปัญหาทางการเมืองทับซ้อนขึ้นตามมาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะพรรค Freedom Party หรือ FPOe ซึ่งเป็นกลุ่มขวาจัดที่ประกาศว่าพร้อมจะต่อต้านอย่างชนิดสุดลิ่มทิ่มประตู และเรียกรัฐบาลออสเตรียว่า กำลังกระทำตัวไม่ต่างจาก "รัฐเผด็จการ"

ความเห็นทางวิชาการเรื่องการบังคับฉีดวัคซีน?

นักวิชาการด้านสาธารณสุขของออสเตรียส่วนหนึ่ง "ไม่เห็นด้วย" กับการเตรียมใช้กฎหมายมาบังคับให้ประชาชนฉีดวัคซีน เนื่องจากมองว่าอาจทำให้ "กลุ่มคนที่กำลังลังเลใจ" เนื่องจากยังมีความวิตกในความปลอดภัยของวัคซีน "เกิดความรู้สึกต่อต้าน" จนกระทั่งไม่ยอมฉีดวัคซีนในที่สุด รวมถึงอาจเลยเถิดถึงขั้นไปเข้าร่วมกับ "กลุ่มที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนมาตั้งแต่แรก" จนขยายความขัดแย้งลุกลามกลายเป็นความรุนแรงได้ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดทัศนคติต่อต้านการฉีดวัคซีนในกรณีที่เกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย

ทั้งๆ ที่สิ่งที่รัฐบาลออสเตรีย ควรทำคือ เร่งแก้ไขความเข้าใจผิดเรื่อง "Fake News วัคซีน" และดำเนินมาตรการบังคับฉีดวัคซีนครบสูตรอย่างเข้มงวดกับบรรดาบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรทางการศึกษาทุกคน ซึ่งก็น่าจะเพียงพอต่อการสกัดการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ได้แล้ว.

ข่าวน่าสนใจ: